
หน้าหนึ่งในสมุดบันทึกสะท้อนให้เห็นถึงผลแห่งความสำเร็จในช่วงเวลาที่กรมหลวงสรรพประสิทธิประสงค์เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองราชสีมา นั่นคือรายละเอียดแสดงต้นความคิดในการออกแบบพระราชอาสน์และโต๊ะเคียง ที่กรมหลวงสรรพประสิทธิประสงค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถประทับเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพระราชพิธีปฐมฤกษ์ก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา และทรงตรวจราชการที่เมืองนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๔๓ พระราชอาสน์ทั้ง ๒ องค์พร้อมโต๊ะเคียงนี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ นครราชสีมา มีประวัติที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะยังได้นำมาใช้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในคราวที่เสด็จประพาสเมืองราชสีมาเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร และในอีกศุภวาระหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรม ราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดนครราชสีมา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๘


พระราชอาสน์ทั้ง ๒ องค์นี้มีลักษณะเป็นเก้าอี้ไม่มีเท้าแขน โครงสร้างทำด้วยไม้กลึงทาสีขาว ผ้าบุพนักพิงปักด้วยรูปพระครุฑพ่าห์สีแดง มีมงกุฎและเครื่องประดับปักด้วยดิ้นทอง ส่วนบนของพนักตบแต่งด้วยรายละเอียดรูปหมวกและชุดเกราะของกษัตริย์โรมันโบราณ ผสมกับลายช่อดอกไม้ ยังมีรูปอาวุธ ขวานปลายหอก ประดับอยู่ที่กรอบบนของพนักพระราชอาสน์ ส่วนขาทั้งสี่เป็นไม้กลึงบิดเกลียว หุ้มด้วยโลหะที่ตอนปลาย
ลวดลายทั้งหมดที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ทรงนำมาใช้ในการออกแบบในครั้งนี้ทรงค้นคว้าและวาดไว้ในสมุดจดบันทึกของพระองค์ ขวานและอาวุธโบราณแบบคล้ายกันยังปรากฏให้เห็นบนตราอาร์มประจำพระองค์อีกด้วย

เป็นเวลาอีกกว่าสิบปีหลังจากที่ผู้เขียนได้ซื้อสมุดจดบันทึกของกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์มาเก็บรักษาไว้ในคลังภาพและสิ่งพิมพ์โบราณของตนเองที่กรุงเทพฯ ผู้เขียนได้ไปเห็นแม่พิมพ์ตราอาร์มส่วนพระองค์ของพระองค์เข้าอีกโดยบังเอิญที่ร้านขายวัตถุโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำกลับมาที่บ้านเพื่อเทียบกับตราประทับบนแผ่นกระดาษหน้าแรกของสมุดจดบนั ทกึ แลว้ กป็ รากฏว่าเปน็ รอยที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ด้วยตราดวงเดียวกัน ยังความปลื้มปีติสู่ตัวผู้เขียนและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นอีกครั้งที่ของใช้ส่วนพระองค์ของกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ได้กลับคืนสู่มือของลูกหลานเพื่อเก็บไว้เคารพบูชา
พระตราที่กล่าวถึงนี้สร้างจากหินสบู่ มีทั้งด้านที่เป็น ตราใหญ่และด้านที่เป็น ตราเล็ก ทั้งสองตรามีรายละเอียดที่แตกต่างกัน สร้างไว้เพื่อใช้ประทับบนเอกสารต่างชนิดกัน สุดแล้วแต่ความสมควร
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เสด็จไปทรงว่าราชการมณฑลลาวกาวแทนกรมหลวงพิชิตปรีชากร พระเชษฐา ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จกลับเข้ามาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมในพระนคร เพื่อทรงเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาฝ่ายไทยในการชำระคดีความเรื่องพระยอดเมืองขวาง ส่วนกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์จะประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง ๑๗ ปี (๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๓๖ – ๑ พฤษภาคม ๒๔๕๓) พระองค์ทรงสานต่องานที่กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงวางรากฐานไว้แต่เดิม และยังทรงพัฒนาบ้านเมืองเพิ่มเติมในด้านต่างๆ อีกมากมายหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น ด้านการศึกษา ทรงจัดตั้งโรงเรียนแผนที่และยังเสด็จไปสอนนักเรียนด้วยพระองค์เองทรงตั้งโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการ และทรงสนับสนุนนักเรียนที่มีผลการเรียนดีด้วยการพระราชทานรางวัลมากน้อยตามควร
ทรงจัดตั้งทำเนียบข้าราชการหัวเมือง โดยทรงเลือกสรรผู้ทรงคุณวุฒิและซื่อตรงต่อราชการให้เข้ามาอยู่ในตำแหน่งการปกครอง ทรงให้ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่ที่มีมาแต่เดิมในทุกหัวเมืองคือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรและทรงให้เรียกตำแหน่งของเมืองใหม่ว่า ผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมืองผู้ช่วยราชการเมือง เช่น ที่เมืองยโสธร เมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด เมืองกาฬสินธุ์เมืองสุรินทร์ เมือศรีสะเกษ เมืองวารินชำราบเป็นต้น อีกทั้งยังทรงปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม ทรงควบคุมการศาล ทรงจัดตั้งกองตำรวจภูธร ทรงปฏิรูปการศุลกากร รวมทั้งการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ และทรงปราบกบฏผีบาปผีบุญเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๔

การเสด็จไปรับหน้าที่ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณมณฑลลาวกาวในสมัยนั้น หม่อมหลวงสุภสิทธิ ชุมพล ผู้เชี่ยวชาญประวัติของราชสกุลชุมพล มีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า คงเป็นเพราะเหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า พระเจ้าน้องยาเธอทั้งสองพระองค์นี้ทรงสืบสายโลหิตโดยตรงจากพระยาราชสงคราม (ผู้ซึ่งเป็นบิดาของเจ้าจอมมารดาพึ่ง)