เรื่อง: คนชอบ (พระ) สวย
อานุภาพ
พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่
องค์ตำนาน
ในยุคเกือบ ๔๐ ปี ที่แล้ว ต้องยอมรับว่า พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่องค์ที่โด่งดังที่สุด คงไม่มีองค์ไหนเกินองค์ของ คุณเสถียร เสถียรสุต เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คุณเสถียร ท่านเจ้าของพระผงสุพรรณ ถูกลอบยิงหน้าบ้านตนเอง ด้วยปืนลูกซอง ซึ่งมีอานุภาพทำลายสูงและมักไม่พลาดเป้า
เพราะในหนึ่งนัด จะมีหัวกระสุนอยู่ ๙ เม็ด สรรพคุณของ กระสุนชนิดนี้ หัวกระสุนจะกระจายเป็นวงกว้างทั้งเก้าเม็ด โดนเม็ดใดเม็ดหนึ่งก็ถึงแกชีวิตได้ อีกทั้งคนยิงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนยิงปืนแม่น เพราะยังไงก็ต้องโดนเข้าสักเม็ด แต่ปรากฏว่า กระสุนทุกเม็ดพลาดร่างคุณเสถียร ไปอย่างน่าอัศจรรย์หัวกระสุนเฉียดลำคอและศีรษะไปหมด ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยกระสุนทั้งเก้าเม็ดกระจายไปติดอยู่ที่ผนังกำแพงโรงรถทั้งหมด
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ราคา พระผงสุพรรณ ดีดตัวขึ้นสูงทันที จากเดิมในช่วงเวลานั้น พระผงสุพรรณ ราคาจะด้อยกว่าพระองค์อื่นๆ ในชุดเบญจภาคีเล็กน้อย ก็เลยกลายเป็นราคาเท่าๆ กัน
ประวัติเดิมของ พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่ องค์นี้ ก็น่าสนใจมาก เพราะเคยประกวดชนะที่ ๑ ในการประกวดพระวัดโพธิ์เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งถือเป็นการประกวดพระครั้งแรกๆ ที่มีความสำคัญและโด่งดังที่สุดในอดีต และเป็นการประกวดพระที่มีจำนวนพระสวยๆ ลงประกวดมากที่สุด รางวัลจะเป็นโล่ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น กรรมการตัดสินก็ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์พระรุ่นแรกๆ ของเมืองไทย เช่น เสี่ยหน่า, อาจารย์เซีย บุษปะบุตร, พี่ลิใหญ่ เป็นต้น
โดยการแนะนำของ “อาจารย์เซีย” ทำให้คุณเสถียร ได้บูชาพระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่ องค์นี้ไว้ได้สำเร็จ และตั้งแต่ได้พระองค์นี้มา ทุกคนที่รู้จักและใกล้ชิดคุณเสถียร ก็จะรู้ว่าคุณเสถียร คล้องติดคออยู่องค์เดียว โดยไม่เคยเปลี่ยนสลับองค์อื่นๆ เลย
สำหรับคุณเสถียรนั้น เป็นบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เป็นบุคคลที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากศึกษาและเติบโตในประเทศอังกฤษอยู่หลายสิบปี จึงเป็นบุคคลที่มีรสนิยมสูงในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ศิลปะ โบราณวัตถุ ภาพเขียน อาหาร ไวน์ และในขณะเดียวกัน ก็มีความเป็นนักเลงแบบลูกผู้ชายไทยๆ คือ ชอบกีฬาแข่งม้า ชกมวย ถึงขั้นมีทั้งคอกม้าและค่ายมวยที่ได้มาตรฐานสากล โด่งดังเป็นที่ยอมรับในวงการมาโดยตลอด ส่วนในเรื่องประวัติความรักของพี่เสถียร ผมเป็นน้องเป็นนุ่งไม่กล้าวิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็น เดี๋ยวจะโดนเตะขอให้คุณ “สีกาอ่าง” ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ ของ สนามพระวิภาวดี นสพ. ไทยรัฐ ซึ่งก็รู้จักและได้รับความเมตตาเอ็นดู จาก คุณเสถียร มาเช่นกัน ไปสืบเสาะเอง เผื่อเป็นข้อมูล เพราะคนมีชื่อเสียงอย่างท่านใครๆ ก็อยากทราบเรื่องราว จะด้านพระ หรือด้านนาง ก็ได้หมด
ตัวผมเอง ก็นับว่าเป็นคนโชคดีคนหนึ่ง ที่ได้เข้าสู่วงการพระโดยมี “พี่เสถียร” เป็นพี่เลี้ยงพาเข้าวงการ ทำให้ได้ดูพระสวยๆ จากรังพระใหญ่ๆ หลายแห่ง และได้มีโอกาสเข้าสนาม รู้จักเซียนพระดังๆ หลายคน ผมเดินตาม “พี่เสถียร” ทั้งในสนามพระและสนามมวยอยู่หลายปี ตลอดเวลาก็แอบมีความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า “พี่เสถียร” อาจจะยก พระผงสุพรรณ พิมพ์ห้น้าแก่ องค์แชมป์นี้ ให้ เพราะตัว “พี่เสถียร” เองไม่มีลูก และหลานๆ ก็ไม่มีใครสนใจสะสมพระเครื่อง แต่ผมก็ไม่เคยกล้าเอ่ยปากขอ เพราะเห็นว่าเป็นพระที่ “พี่เสถียร” มีประสบการณ์รอดชีวิตมา และก็บูชาติดคออยู่องค์เดียวมาโดยตลอด
จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ในชวงเวลาที่ “พี่เสถียร”
ได้มอบ พระซุ้มกอ และ พระผงสุพรรณ ซึ่งเดิมเป็นของ ท่านผู้ว่าสุชาติ พัววิไล ให้ผม ผมจึงตัดสินใจเอ่ยปากขอ พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่ องค์นี้ไว้ล่วงหน้า ซึ่ง “พี่เสถียร” ก็รับปากว่า ในวันข้างหน้าจะมอบให้ผมอย่างแน่นอน
และแล้ว ในที่สุดฝันก็เป็นจริง เมื่อหลายปีต่อมา ผมก็ได้รับข่าวดีผ่านโทรศัพท์ คุณตุ๋ย (เจ้าของร้านทองดี วัตถุโบราณ) ซึ่งเป็นเสมือนหลานคุณเสถียรคนหนึ่ง ได้แจ้งมาว่า คุณเสถียรได้มอบหมายให้นำ พระผงสุพรรณ พิมพ์ห้น้าแก่ องค์ที่ผมรอคอยมามอบให้ผมที่บ้าน ซึ่งผมยังจำได้ว่า ทั้งดีใจ ตื่นเต้น และตกใจอย่างที่สุด เพราะไม่เคยคาดคิดว่า ความหวังลมๆ แล้งๆ จะเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน ผมและครอบครัวก็ต้องถือโอกาสนี้ กราบขอบพระคุณ “พี่เสถียร” พี่ที่เคารพรักอีกครั้งหนึ่ง ที่ได้มีความเมตตาต่อตัวกระผมและครอบครัวมาโดยตลอด
ตำนานพระผงสุพรรณ
จาก จารึกลานทอง ที่ได้จากกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุสุพรรณบุรี ทำให้ผู้ที่มีความศรัทธาบูชา พระผงสุพรรณ ได้รับรู้ถึงคุณค่าของพระเครื่องตระกูลนี้ ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่และเข้มขลัง มีพุทธคุณที่เลื่องชื่อลือชาตั้งแต่โบราณว่า พระเครื่องพุทธศิลป์อู่ทองกรุนี้ มีคุณวิเศษครอบจักรวาล ตามที่พระฤๅษีผู้สร้างได้บันทึกไว้ และบอกถึงอุปเท่ห์ การบูชา (วิธีอาราธนาองค์พระ เพื่อให้ท่านช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ)
สันนิษฐานว่า พระผงสุพรรณ น่าจะสร้างในสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) หรือสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แม้ไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้างที่ชัดเจนแต่มีหลักฐานที่สำคัญต่อการศึกษาของวงการพระเครื่องพระบูชาคือ ลานทอง ๓ แผ่น ซึ่งเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของการสร้างวัด สร้างพระเครื่อง และพระบูชา
โดยเฉพาะแผ่นที่ ๒ ซึ่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแปลไว้ว่า “ศุภมัสดุ ๑๒๖๕ สิทธิการิยะแสดงบอกไว้ให้รู้ว่า ฤๅษีทั้งสี่ตน พระฤๅษีพิมพิลาไลย์ เป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์ มีสุวรรณเป็นต้น คือบรมกษัตริย์ พระยาศรีธรรมโศกราช เป็นผู้ศรัทธาพระฤๅษีทั้งสี่ตน จึงพร้อมกันนำเอาแด่ว่านทั้งหลาย พระฤๅษี
ความเห็นองค์พระ
เป็นที่ยอบรับในวงการมาโดยตลอดว่า พระผงสุพรรณ พิมพ์ห้น้าแก่ องค์นี้ เป็นหนึ่งในพระที่ติดได้สุดพิมพ์จริงๆ ถ้าหากจะจัดและเปรียบเทียบความลึก-คม-ชัดกับองค์อื่นจากภาพถ่าย อาจไม่สามารถทำได้ แต่จะต้องวัดและเปรียบเทียบจากองค์จริงกับองค์จริงเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนสูงสุดขององค์พระ คือ กระจังหน้า จะวัดดูความลึกได้ ก็โดยวิธีเดียวกัน คือต้องส่องดูพระจากด้านข้างขอบตัดจึงจะเห็นว่าหากติดได้สุดพิมพ์จริงๆจะดูเหมือนเอาหวายมาผ่าครึ่ง แล้วนำมาปะติดบนหน้าผากของพระ หากจะวัดด้วยไม้บรรทัด น่าจะวัดได้ความสูงที่นูนขึ้นมาจากหน้าผากพระเกินหนึ่งมิลลิเมตร พระที่ติดได้ลึกขนาดนี้เท่าที่พบเห็นในวงการตั้งแต่เปิดกรุมาน่าจะมีไม่เกิน ๕ องค์เท่านั้น
“คำพูดเปรียบเปรยของคนโบราณคือ ฝนตกพระไม่เปียก เพราะมีกระจังหน้าไว้กันฝนแล้ว”
สาเหตุที่เรียกว่า “ผงสุพรรณ” ก็เนื่องจากการค้นพบจารึกลานทองกล่าวถึงการสร้างจากผงว่านเกสรดอกไม้อันศักดิ์สิทธิ์ จึงได้รับการเรียกขานกันว่า “ผงสุพรรณ” เรื่อยมา พระผงสุพรรณเนื้อดินนั้น เป็นพระเครื่องที่มีส่วนผสมวัสดุมวลสารจากดินละเอียดว่าน และเกสรต่างๆ คนโบราณเรียกว่า “พระเกสรสุพรรณ” ซึ่งนำว่านผงเกสรมงคล ๑๐๘ มาเป็นวัตถุมงคล
จึงอัญเชิญเทวดามาช่วยกัน ทำพิธีเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งแดงสถานหนึ่งดำ ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อน พิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี ศรีสาริบุตร คือ เป็นใหญ่ เป็นประธานในที่นั้น ได้เอาแร่ต่างๆ มีอานุภาพต่างกัน เสกด้วยมนต์คาถาครบ ๓ เดือน แล้วท่านให้เอาไปประดิษฐานไว้ในสถูปแห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม (สุพรรณบุรี) ถ้าผู้ใดพบเห็น ให้รีบเอาไปไว้สักการบูชาเป็นของวิเศษ
แม้จะมีอันตรายประการใดก็ดี ให้อาราธนาผูกไว้ที่คอ อาจคุ้มครองภยันตรายได้ทั้งปวง ถ้าผู้ใดจะออกรณรงค์สงครามประสิทธิ์ด้วยศัสตรา อาวุธทั้งปวง เอาพระลงสรงนํ้ามันหอมแล้วนั่งบริกรรมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๘ จบ พาหุง ๑๓ จบ ใส่ขันสัมฤทธิ์ นั่งอธิษฐาน เอาความปรารถนาเถิด ให้ทาทั้งหน้าและผม คอ หน้าอก ถ้าจะใช้ในทางเมตตา ให้มีสง่า เจรจาให้คนทั้งหลายเชื่อฟัง ยำเกรง ให้เอาพระไว้ในนํ้ามันหอมเสกด้วยคาถานวหรคุณ ๑๓ จบ พาหุง ๑๓ จบ พระพุทธคุณ ๑๓ จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียน ทำพิธีในวันเสาร์ นํ้ามันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอ ทาริมฝีปาก หน้าผาก และผม ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวมานี้ พระว่านก็ดี พระเกษรก็ดี ทำด้วยแร่ สังฆวานรก็ดี อย่าประมาทเลย อานุภาพพระทั้ง ๓ อย่างนี้ ดุจกำแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถาทเยสันตา จนจบ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนจบ พาหุง ไปจนจบ แล้วให้ว่าดังนี้อีกกะเตสิกเกกะ ระณังมหาไชยังมังคะ สังนะมะพะทะ แล้วให้ว่า กิริมิติ กุรุมุธุ เกเรเมเถ กะระมะทะ ประสิทธิแล”
สาเหตุที่เรียกว่า “ผงสุพรรณ” ก็เนื่องจากการค้นพบจารึกลานทอง กล่าวถึงการสร้างจากผงว่านเกสรดอกไม้อันศักดิ์สิทธิ์จึงได้รับการเรียกขานกันว่า “ผงสุพรรณ” เรื่อยมา พระผงสุพรรณเนื้อดินนั้น เป็นพระเครื่องที่มีส่วนผสมวัสดุมวลสารจากดินละเอียด ว่าน และเกสรต่างๆ คนโบราณเรียกว่า “พระเกสรสุพรรณ” ซึ่งนำว่านผงเกสรมงคล ๑๐๘ มาเป็นวัตถุมงคล ได้แก่การนำหัวว่านมงคลต่างๆ มาคั้นเอานํ้าว่าน เป็นส่วนผสมเข้ากับมวลสารอื่นๆ จึงทำให้ พระผงสุพรรณ มีความหนึกนุ่ม หากได้โดนเหงื่อไคลแล้ว ยิ่งขึ้นเป็นมันเงางาม อย่างที่คนโบราณเรียกว่า “แก่ว่าน” ซึ่งได้แก่การคั้นนํ้าว่านผสมลงไป
พระผงสุพรรณ พิมพ์มาตรฐาน มี ๓ พิมพ์
๑. พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าแก่
๒. พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้ากลาง
๓. พระผงสุพรรณ พิมพ์หน้าหนุ่ม
ทุกพิมพ์มีเอกลักษณ์คือ ด้านหลังองค์พระจะมี รอยลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นการกด เมื่อนำดินใส่ลงในแม่พิมพ์ ซึ่งในจารึกลานทองกล่าวไว้ว่า “ให้เอาว่านทำเป็นผงก้อน พิมพ์ด้วยลายมือของมหาเถระปิยะทัสสะสี ศรีสารีบุตร คือ เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั้น” ลายมือที่ปรากฏ จะเป็นลายนิ้วมือหัวแม่โป้งแบบ “ก้นหอย” ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะลายมือของคนโบราณส่วนการตัดขอบ มักจะตัดเป็นรูปตามองค์พระ ด้านฐานผายกว้างด้านบนสอบเข้า โดยเฉพาะขอบข้างพระเศียร อาจตัดเป็นเหลี่ยมมุม
ทำให้กรอบพระผงสุพรรณ มีห้าเหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้างไม่เสมอเหมือนกัน