“การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนับถือหลวงปู่เอี่ยมมากเนื่องจากหลวงปู่สามารถมีญาณล่วงรู้อนาคตในการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า”
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๙๔ เมื่อท่านอายุได้ ๑๙ ปี ในขณะนั้นเป็นสามเณรอยู่ ได้เข้าสอบบาลีสนามหลวง ซึ่งสมัยนั้นต้องเข้าสอบแปลปากเปล่าต่อหน้าพระพักตร์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่น่าเสียดายที่ท่านสอบพลาดไป เลยลาสิกขาบทกลับไปช่วยบิดา-มารดาประกอบอาชีพอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งหลังจากนั้นอีก ๓ ปี พ.ศ. ๒๓๙๗ เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ท่านได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุซึ่งได้ทำการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดราชโอรสาราม (วัดจอมทอง) อำเภอบางขุนเทียนธนบุรี โดยมีพระสุธรรมเทพเถระ (เกิด) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมเจดีย์ (จีน) กับพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) เป็นคู่กรรมวาจาจารย์เมื่ออุปสมบทแล้วได้ฉายาว่า “สุวณฺณสโร”
หลวงปู่เอี่ยมได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระภาวนาโกศลเถระ หรือ “หลวงปู่รอด” ซึ่งในขณะนั้นท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือมาก ครั้นต่อมาในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) “หลวงปู่รอด” ได้ถูกถอดจากสมณศักดิ์เดิมกลายเป็นพระสงฆ์ธรรมดา เนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จไปทอดผ้าพระกฐินที่วัดนางนอง หลังจากที่พระองค์ถวายผ้าไตรเรียบร้อยแล้ว เป็นธรรมเนียมที่พระสงฆ์จะต้องถวายอดิเรก แต่หลวงปู่รอดท่านกลับนิ่งเสีย เป็นเหตุให้พระองค์ทรงกริ้วมาก จึงมีพระบรมราชโองการให้ถอดสมณศักดิ์ของหลวงปู่ให้เป็นพระสงฆ์ธรรมดาๆ หลวงปู่รอดจึงได้ย้ายพระอารามไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโคนอน ครั้งนั้นเนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ทรงไม่พอพระราชหฤทัย จึงเป็นเหตุให้ไม่มีผู้ใดติดตามรับใช้หลวงปู่รอดอีกเนื่องจากเกรงกลัวในราชภัยจากนั้นหลวงปู่รอดจึงได้ย้ายพระอารามไปครองอยู่ที่วัดโคนอน โดยมีเจ้าคุณเฒ่าตามไปรับใช้อยู่ที่วัดโคนอนด้วยโดยที่ไม่ยึดเรื่องยศศักดิ์ กล่าวคือถึงแม่หลวงปู่รอดท่านจะไม่มีสมณศักดิ์แล้ว หลวงปู่เอี่ยมยังคงปฏิบัติต่อพระอาจารย์เช่นเดิม แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อหลวงปู่รอดมาก ดังนั้นหลวงปู่รอดจึงถ่ายทอดความรู้ทางด้านพุทธาคมและพระกัมมัฏฐานให้จนหมดสิ้น ต่อมาไม่นานนักหลวงปู่รอดได้ถึงแก่มรณภาพ หลวงปู่เอี่ยมจึงได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดโคนอนสืบแทนพระอาจารย์ต่อไป
ครั้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้ “หลวงปู่เอี่ยม” ไปครอง “วัดหนัง” ต่อไป และรุ่งขึ้นอีกหนึ่งปีก็ได้พระราชทานสมณศักดิ์ให้แก่หลวงปู่เอี่ยมแห่งวัดหนัง เป็นพระราชาคณะที่ “พระภาวนาโกศล” (เอี่ยม) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับพระอาจารย์ของท่านนั่นเองซึ่งในเรื่องนี้มีผู้เล่าว่า การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนับถือหลวงปู่เอี่ยมมาก เนื่องจากหลวงปู่สามารถมีญาณล่วงรู้อนาคตในการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป หลวงปู่เอี่ยมได้ถวายพยากรณ์ว่า พวกฝรั่งจักทดลองพระองค์ ให้พระองค์ทรงปราบม้าพยศ จากนั้นหลวงปู่ได้ถวายพระคาถาชื่อมงกุฎพระพุทธเจ้า มีใจความดังนี้ อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสกหญ้าให้ม้านั้นกิน แล้วม้าจักละพยศไปเอง ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ประพาสยุโรป ก็ปรากฏว่าในการเยือนประเทศฝรั่งเศสได้เกิดเหตุการณ์ตามที่หลวงปู่ทำนายไว้ทุกประการยังให้เกิดพระราชศรัทธาในหลวงปู่เป็นยิ่งนักนับเป็นเกียรติคุณแก่พระเดชพระคุณหลวงปู่เอี่ยมตลอดมา หลวงปู่เอี่ยมท่านได้ครองวัดหนังอยู่ถึง ๒๗ ปีเศษจึงถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ รวมอายุได้ ๙๔ ปี
วัตถุมงคลที่เป็นเอกลักษณะของหลวงปู่เอี่ยมคือ พระปิดตายันต์ยุ่ง หล่อด้วยโลหะสำริด ซึ่งได้รับการจัดไว้ในชุดเบญจพระปิดตาเนื้อโลหะเช่นกัน พระปิดทวารยันต์ยุ่งของวัดหนังจะมีกรรมวิธีและลักษณะคล้ายกับพระปิดตาวัดทอง ซึ่งต้องใช้ความประณีตปั้นหุ่นจากเทียนทีละองค์ทำให้พระแต่ละองค์ไม่เหมือนกันสำหรับโลหะที่ท่านเจ้าคุณเฒ่านำมาสร้างพระปิดทวารนั้น มีทั้งเนื้อสัมฤทธิ์แกเงิน และเนื้อโลหะแกทอง เมฆพัด ตะกั่ว และผงส่วนเหรียญของพระภาวนาโกศลเถระหรือหลวงปู่เอี่ยม จัดอยู่ในชุดเบญจภาคีเหรียญเช่นกัน ลักษณะปนรูปเสมา มีรูปหลวงปู่นั่งอยู่บนอาสนะ โต๊ะขาสิงห์ชั้นเดียวโดยแกะแบบนูนตำ่ เรือนกรอบของเสมาเป็นลวดลายประคำและลายหูชาง ขอบบนเป็นลอน ๓ ลอน และปลายสุดเบื้องล่างเป็นลายดอกกุดั่น ด้านหลังเป็นอักขระนะโมพุทธายะประดิษฐานในยันต์ขมวดสี่มุมมีคาถาธาตุ ๔ ที่ด้านล่าง ด้านบนเป็นหัวใจพระรัตนตรัย ชักเป็นอุณาโลมขึ้นไปนับว่าเป็นเหรียญพระเกจิอาจารย์ที่มี