Sunday, February 16, 2025
ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

IN POST-BOX WE TRUST ก่อนที่(ตู้)จดหมายจะหายไป

นิตยสารอนุรักษ์ ฉบับที่ 18
เรื่อง: ฬียากร เจตนานุศาสน์
ภาพประกอบ: วิชาญ ชัยรัตน์

นกพิราบสื่อสาร การส่งจดหมายในแบบดั้งเดิมที่มนุษย์เริ่มต้องการติดต่อสื่อสารกันในระยะทางไกลๆ

IN POST-BOX WE TRUST

ก่อนที่(ตู้)จดหมายจะหายไป

อนึ่ง คิดถึง มากพอสังเขป

ถ้าจะเล่าให้เป็นเรื่องแนวโรแมนติกๆ เรา ว่าคนเขียนจดหมายเป็นคนแรกๆ นั้น น่าจะเกิดขึ้นจากความคิดถึงใครสักคนมากพอดูและในยุคที่ยังไม่มีตู้ไปรษณีย์นั้น บุรุษผู้ทําหน้าที่ม้าเร็วย่อมเป็นผู้ที่มีความน่าจะไว้ใจได้และมีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะนําพาสาส์นนั้นไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัยไม่ตกหล่นสูญหายในระหว่างทาง และด้วยความสามารถเฉพาะตัวแบบนี้ ย้อนไปถึงยุค แรกๆ ที่ยังไม่มีตู้ไปรษณีย์ ยังไม่มีอาชีพบุรุษ ไปรษณีย์ เรายังอดสงสัยในความแสนรู้ของ นกพิราบสื่อสารไม่ได้ว่า เหตุใดมันจึงมีความ สามารถชนิดหาตัวจับยากได้เช่นนั้น

หรือแท้จริงแล้วเพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อ จะสื่อสารและทําความเข้าใจกับทั้งมนุษย์ด้วย กัน และกับสัตว์บางชนิดที่มีความแสนรู้พอจะ ฝึกได้…. และด้วยความชาญฉลาดที่สามารถ คิดหาสารพัดวิธีเพื่อความอยู่รอดมานักต่อนัก แล้วของมนุษย์ การจะฝึกนกพิราบให้ส่งจดหมายได้จึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ไป กว่าแรงของความคิดถึง ซึ่งเราว่า ณ จุดนั้นต้องมีปริมาณมากกว่าคําว่าพอสังเขปแน่ๆ

จากเรื่องราวในอดีตนั้นก็มี การกล่าวไว้ว่า หนึ่งในวิธีเก่าแก่ที่สุด ในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ คือการ เขียนข้อความลงวัสดุต่างๆ และให้ “ม้าเร็ว” ไปส่ง อันเป็นรากฐานของการเขียน จดหมายที่จะพัฒนาขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปซึ่งเมื่อกางประวัติศาสตร์ดูก็จะพบว่า วิธีนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกยุค โบราณ โดยมีม้า นกพิราบ และพาหนะ ต่างๆ เข้ามาเป็นตัวช่วย แต่ด้วยระยะทางที่ อยู่ห่างไกลกัน กว่าจะถึงผู้รับก็อาจใช้เวลา นานหลายวันจนถึงหลายเดือน เป็นเช่นนี้ กระทั่งการไปรษณีย์เจริญแพร่หลายในตะวัน ตก แล้วส่งผลไปทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ในปัจจุบันต้องบอกว่าวงการไปรษณีย์มีความ ฉับไวขึ้นกว่าเดิมมาก…ซึ่งจากการทดลองจับ เวลาดู ล่าสุด ผู้เขียนลองส่งพัสดุที่มีจดหมาย แนบข้อความไปพร้อมสิ่งของในกล่อง ไปรษณีย์ไปยังประเทศเนปาล ไม่อยากเชื่อก็นกพิราบสื่อสาร การส่งจดหมายในแบบดั้งเดิมที่มนุษย์เริ่มต้องการติดต่อสื่อสารกันในระยะทางไกลๆ ต้องเชื่อว่าใช้เวลาเพียง ๒ วันก็ถึงมือผู้รับแล้ว นี่คือวิวัฒนาการของ “ม้าเร็ว” ที่สามารถ เชื่อมต่อแบบใจถึงใจทั้งผู้ส่งและผู้รับให้กระชับความสัมพันธ์กันได้เป็นอย่างดีด้วยความรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ในยุคนี้ต่างก็ต้องการ

ถ้าเช่นนั้น ลองย้อนอดีตรําลึกถึง ไปรษณีย์ไทยในสมัยก่อนๆ กัน

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษี สว่างวงศ์ ผู้สําเร็จราชการกรมไปรษณีย์พระองค์แรก

ไปรษณีย์สยาม…อดีตสู่ปัจจุบัน

การเขียนจดหมายของไทยนั้นเริ่มใน สมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อไทยเปิดประเทศค้าขาย โดยเฉพาะกับอังกฤษที่ทําสนธิสัญญา (แกม บังคับ) ขึ้นมาถึง ๒ ฉบับ ความจําเป็นในการ ติดต่อสื่อสารจึงเกิดขึ้น แต่เมื่อไม่มีโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตใช้เหมือนสมัยนี้พวกเขาก็ อาศัยเรือสินค้าเป็น “บุรุษไปรษณีย์จําเป็น”

หลักฐานการส่งจดหมายของไทยเก่าแก่ ที่สุดเท่าที่พบ คือจดหมายหมอบรัดเลย์ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ ส่งไปยัง บอสตัน ถึงสาธุคุณ Rev. R. Anderson ทาง เรือสินค้า บนซองมีตราประทับ SHIP ดังนั้น จดหมายฉบับนี้จึงเขียนขึ้นหลังหมอสอน ศาสนาชาวอเมริกันถึงสยามได้เพียงเดือนเศษ (ถึง ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๘) การส่ง ครั้งนั้นกว่าจะถึงก็ใช้เวลาทั้งหมด ๘ เดือน เทียบกับส่งอีเมลสมัยนี้แล้ว คิดดูเอาเถิดว่า ถ้าเป็นการส่งเพียงความคิดถึงจากใครสักคนสู่บางคนนั้น จะเชื่องช้าและเต็มไปด้วย ความเหว่ว้าในการรอคอยของทั้งผู้ส่งและผู้รับสักแค่ไหน

การส่งจดหมายสมัยแรก นอกจากมิชชัน นารีและนักการทูตก็มีในหมู่เจ้านาย คือ หนังสือพิมพ์แจ้งข่าวราชการ “Court” หรือ “ค้อต” ใน พ.ศ. ๒๔๑๘ ถัดมาอีกหนึ่งปีจึง เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “ข่าวราชการ” ผู้ริเริ่มคือ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ (สมเด็จพระเจ้าน้อง ยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา ภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้สําเร็จราชการกรม ไปรษณีย์พระองค์แรก) การทําจดหมายข่าวนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจ้างคนเดินส่งตาม บ้านผู้บอกรับ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ ทรง เรียกคนเดินส่งจดหมายนี้ว่า “โปศตแมน” ทําจริงจังถึงกับมีการพิมพ์แสตมป์ ๑ อัฐ เป็นพระสาทิสลักษณ์ (รูป) เจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ คนทั่วไปรู้จักแสตมป์นี้ในชื่อ อภิวัฒน์ (ฮา) ไม่ใช่ค่ะ ขออภัย….ในชื่อ “ตั๋วแสตมป์ภาณุรังษี” ซึ่งถือว่านี่คือไปรษณีย์ระดับท้องถิ่น (Local Post) รุ่นแรกของบ้านเรา

ในยุคที่สยามยังไม่มีกิจการไปรษณีย์ของ ตัวเอง การดําเนินการทางด้านนี้จึงทําโดย สถานกงสุลอังกฤษ ทําหน้าที่รับจดหมายมา รวมที่ป้อมหน้ากงสุล ให้ยามเป็นผู้ดูแล แล้ว ก็ส่งลงเรือไปที่ทําการไปรษณีย์ของอังกฤษ ในสิงคโปร์ (ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ สหพันธรัฐมลายา) จากที่นี่ จดหมายจะถูกส่ง ต่อไปยังยุโรป (ถ้าส่งอเมริกา เรือสินค้าจะนํา ไปรวมที่ฮ่องกงเพื่อส่งต่อ) การดําเนินการนี้ทําให้เกิดมีการนําแสตมป์และวิธีการดําเนินงานไปรษณีย์แบบสิงคโปร์มาใช้ที่สถานกงสุลและเป็นต้นแบบให้ไปรษณีย์ไทยต่อมา

จวบจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๒๓ คํากราบ บังคมทูลเสนอตั้งกิจการไปรษณีย์ก็มาจาก “เจ้าหมื่นเสมอใจราช” ซึ่งมีโอกาสตามเสด็จ รัชกาลที่ ๕ ประพาสอาณานิคมดัตช์ (อินโดนีเซีย) และอังกฤษ (อินเดีย) แล้วเห็น กิจการไปรษณีย์ของอาณานิคมต่างๆ ซึ่งมี ก่อนประเทศไทยไม่ต่ํากว่า ๑๐ ปี ผลคือ รัชกาลที่ ๕ ทรงสนพระทัยและทรงตกลง ให้เตรียมการเป็นเวลา ๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๒๓- ๒๔๒๖) โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ เป็นผู้นําเนินการ

ไปรษณีย์ไทย จากวันวานถึงวันนี้

เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑ ค่ํา เดือนเก้า ปีมะแม เบญจศก จุลศักราช ๑๒๔๕ ตรงกับวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว ทรงสถาปนากิจการไปรษณีย์ นับเป็นครั้งแรกในบ้านเมืองเราที่ราษฎร สามารถส่งข่าวสารได้อย่างมีระบบและสะดวกสบายจากจุดเริ่มต้น กิจการ ไปรษณีย์สยามค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยดีจากนั้นมีการรวมกับกรมโทรเลขเป็น “กรมไปรษณีย์โทรเลข” ในปี พ.ศ.๒๔๔๑ ย้ายที่ทําการจาก “ไปรสะนียา คาร” ไปริมถนนเจริญกรุง ซึ่งต่อมาเป็น ที่รู้จักกันในนาม “ที่ทําการไปรษณีย์ กลาง” และมีการขยายสาขาสู่หัวเมือง ทั่วประเทศ ผ่านการปรับองค์กรอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็น “การสื่อสารแห่ง ประเทศไทย” รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวง คมนาคม ก่อนย้ายสํานักงานใหญ่ไปแจ้งวัฒนะ ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้มีความ ก้าวหน้าหลายอย่าง เช่น การประกาศรหัสไปรษณีย์ ๕ ตัว (พ.ศ. ๒๕๒๕) ก่อนถูกแยกเป็น ๒ บริษัทใน พ.ศ. ๒๕๔๖ ส่วนไปรษณีย์ได้เป็น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด บริหารแบบเอกชน มีสถานะรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวง ICT

จดหมายจะเป็นจดหายถ้าไร้แสตมป์

ย้อนกลับไปดูยุดที่การส่งจดหมายไปมาถึงกันยังไม่มีระบบฝากส่งที่ดีเช่นในปัจจุบันประเทศอังกฤษนําแบบอย่างการไปรษณีย์ฝรั่งเศสมาดําเนินการประยุกต์ใช้ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลดีเท่าที่ควรและขาดทุน เนื่องจากในระยะเริ่มต้น ผู้ส่งจดหมายไม่ต้องเสียค่าฝากส่ง บุรุษไปรษณีย์จะนําจดหมายไป ส่งให้กับผู้รับและเรียกเก็บเงินจากผู้รับ จึงมี ผู้หลีกเลี่ยงไม่ยอมจ่ายเงินค่ารับจดหมายเป็นจํานวนมาก

โรว์แลนด์ ฮิลล์ ผู้ริเริ่มเสนอการออกกฎชําระ ค่าธรรมเนียมก่อนส่งจดหมายเพื่อจะได้ไม่เป็นจดหาย

ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๓๗๙ นายโรว์แลนด์ ฮิลล์ (Rowland Hill) ชาวอังกฤษ จึงเสนอวิธี คิดค่าธรรมเนียมในการฝากส่งโดยให้ถือน้ําหนักเป็นเกณฑ์ และกําหนดให้มีมาตรฐาน จดหมาย ๑ ฉบับ ต่อ ๑ เพนนี เขายังเสนอให้ มีการจัดพิมพ์ตราไปรษณียากร หรือแสตมป์ (Postage Stamp) สําหรับให้ผู้ใช้บริการ ซื้อไว้เพื่อปิดผนึกบนห่อซองจดหมาย ณ บริเวณมุมบนด้านขวา เพื่อแสดง ให้ทราบว่าจดหมายฉบับนั้นชําระค่าธรรมเนียมแล้ว

ข้อเสนอของนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ได้รับการยอมรับจากรัฐบาล อังกฤษ จึงเป็นประเทศแรกที่ได้ปฏิรูปการ ไปรษณีย์เสียใหม่ โดยให้ผู้ฝากส่ง เป็นผู้ชําระค่าจดหมายล่วงหน้า และแสตมป์ดวงแรกก็ได้อุบัติขึ้น เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๘๓

แสตมป์ เพนนี แบล็ก แสตมป์ชุดแรกของโลก

เมื่อแสตมป์ชุดแรกของโลก “เพนนี แบล็ก” (Penny Black) ออกจําหน่ายแล้ว ประเทศต่างๆ จึงได้จัดพิมพ์แสตมป์ออกมาใช้ในกิจการไปรษณีย์ของตนบ้าง

หลังจากแสตมป์ดวงแรกออกจําหน่ายได้ ประมาณ ๒ ปี มีผู้พบเห็นประกาศแจ้งความ ในหนังสือพิมพ์ Time of London ในเช้า วันหนึ่งว่าต้องการรับซื้อแสตมป์ใช้แล้ว จํานวนมาก สุภาพสตรีผู้ลงประกาศนี้เป็นครูต้องการนําแสตมป์ดังกล่าวไปประดับฝาผนังเคหสถานของเธอ ต่อจากนั้นอีก ๑๐ ปี ในกรุง ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ครูท่านหนึ่งให้ลูกศิษย์ หาแสตมป์ใช้แล้วมาเพื่อประกอบการเรียน วิชาภูมิศาสตร์ โดยให้เด็กๆ ค้นหาว่าแสตมป์ ที่นํามาเป็นของประเทศใด และประเทศนั้น อยู่บริเวณใดของแผนที่โลก

การนําแสตมป์มาใช้เป็นสื่อการสอน ทําให้เด็กได้รับความรู้และสนุกสนาน หลัง จากนั้นมา การสะสมแสตมป์จึงเริ่มกลายเป็นงานอดิเรกที่พัฒนาก้าวหน้าขึ้น มีการนํามา เก็บใส่อัลบั้ม แบ่งหมวดหมู่และแยกประเภท อย่างชัดเจน สวยงาม แสตมป์บางคอลเล็กชั่น กลายเป็นของมีค่าของนักสะสม คล้ายเป็นการตามหาเรื่องราวที่ขาดหายมาเติมต่อให้เต็มนั่นคือความสุขอย่างหนึ่งของคนรักแสตมป์

แสตมป์ชุดแรก ของโลก

แสตมป์ชุดแรกของโลก คือ แสตมป์ชนิดราคา ๑ เพนนี มี พระบรมฉายาลักษณ์ผินพระพักตร์ ข้างของสมเด็จพระนางเจ้าวิกทอเรีย กษัตริย์อังกฤษในสมัยนั้น นักสะสม จึงเรียกกันทั่วไปว่า ชุด “เพนนี แบล็ก” (Penny Black) มีข้อสังเกต ได้ว่าแตกต่างจากแสตมป์ชุดอื่นๆ ๓ ประการ คือ ไม่มีชื่อประเทศ ไม่มี กาวด้านหลัง และไม่มีฟันแสตมป์ด้วยจํานวนดวงในแผ่นมีทั้งสิ้น ๒๔๐ ดวง เมื่อจะใช้ต้องใช้กรรไกร ติดออกมา ทําให้แสตมป์มีขอบเรียบ ทั้ง ๔ ด้าน

สําหรับการสะสมในบ้านเรานั้น เกิดขึ้น มาพร้อมกับแสตมป์ชุดแรกของประเทศไทยโดยชาวต่างประเทศที่เข้ามารับราชการและติดต่อค้าขายเป็นผู้เริ่มต้นสะสมก่อน ภายหลังจึงมีการสะสมกันในหมู่ชาวไทยเพราะแสตมป์เป็นของหาง่าย ราคาไม่แพง มีความสวยงาม แตกต่างกันออกไป จึงทําให้ผู้พบเห็นเกิด ความเพลิดเพลิน เบิกบาน และได้รับความรู้หากค้นคว้าถึงที่มาของภาพที่ปรากฏอยู่บน ดวงแสตมป์ สิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ที่น่าสนใจยิ่งของภาพในกระดาษแผ่นเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยพลัง

ทั้งพลังของภาพ…และพลังของการเป็น ดังตั๋วโดยสารเพื่อพาของสิ่งหนึ่งหรือกระดาษ เพียงแผ่นหนึ่ง จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนได้ ในจุดหมายที่แม้จะห่างไกลเพียงใด…ก็ไปถึง

ดังนั้น สําหรับนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ผู้ทําความดีแก่การไปรษณีย์อังกฤษอย่าง อเนกอนันต์ ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้า วิกทอเรียทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเขาให้เป็น ขุนนางชั้นบาธ (BATH) ตําแหน่งเซอร์โรว์ แลนด์ ฮิลล์ (Sir Rowland Hill) และได้รับ การบันทึกว่า เป็นผู้ให้กําเนิดแสตมป์ดวงแรก ขึ้นมาบนโลก

แสตมป์ชุดแรกของไทย มีชื่อว่า ชุดโสฬส สวยงาม มีค่า และน่าสะสม

แสตมป์ชุดแรกของไทย

ภาพแสตมป์ชุดโสฬส แสตมป์ชุดแรกของไทย “ชุดโสฬส” (ในสมัย รัชกาลที่ ๕ สะกดว่า “โสฬศ” ดังปรากฏบนแสตมป์ชุดแรกนี้) ประกอบ ด้วยราคา ๑ โสฬส ๑ อัฐ ๑ เสี้ยว ๑ ซีก ๑ สลึง และ ๑ เฟื้อง จัดพิมพ์ ที่บริษัท Waterlow & Sons, Ltd. ประเทศอังกฤษ จํานวนพิมพ์ชนิด ราคาละ ๕๐๐,๐๐๐ ดวง เริ่มนําออกใช้วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ในวันนั้นเนื่องจากแสตมป์ราคา ๑ เฟื่องส่งมาไม่ทัน กรมไปรษณีย์จึงงดใช้และนํามาจําหน่ายเพื่อการสะสมในภายหลัง

แสตมป์ชุดโสฬสเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์เบื้องซ้ายภายในวงกรอบรูปไข่ ตัวหนังสือ และตัวเลขใช้อักษรและเลขไทยล้วน ด้านหลังไม่มีกาวและไม่มีลายน้ํา

ตู้ไปรษณีย์สไตล์วิกทอเรียนเป็นตู้จดหมายใบแรกของไทยที่รับเป็นของขวัญจากประเทศเยอรมนี

ตู้ไปรษณีย์…ก็มีหัวใจ

มาถึงบุคคลสําคัญผู้ปวารณาตัวเป็นผู้รับฝากหัวใจ ใครต่อใครเอาไว้เต็มตู้ ผู้นี้ก็คือ ตู้ไปรษณีย์ (Post Box หรือ Mail Box) เป็นตู้สําหรับให้ประชาชนนําจดหมายที่ ติดแสตมป์ค่าส่งแล้วมาหย่อนเข้าไปในตู้ และจะมีบุรุษ ไปรษณีย์มารวบรวมจดหมายตามเวลาที่กําหนดเพื่อส่งเข้าระบบไปรษณีย์ต่อไป มีการนํามาใช้ในสหราช อาณาจักรตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ. ๑๘๕๕) เป็นเวลา ๑๕ ปีนับจากการเปิดบริการไปรษณีย์โดยใช้แสตมป์

ตู้ไปรษณีย์มีหลายรูปแบบ นับตั้งแต่แบบตั้งพื้น แบ ติดกับกําแพง และมีสีสันแตกต่างกันออกไปขึ้นกับ ประเทศ ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษจะใช้สีแดงและ ดําเป็นหลัก สหรัฐอเมริกาใช้สีฟ้า ส่วนประเทศไทยซึ่ง เริ่มมีตู้ไปรษณีย์พร้อมกับบริการไปรษณีย์นั้นก็ใช้สีแดง และดํา เนื่องจากระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งริเริ่ม ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ล้วนได้รับอิทธิพลจากระบบของ อังกฤษเป็นหลัก

ตู้ไปรษณีย์เก่าแก่สุดของไทย จากประวัติเป็นตู้ที่ ได้รับมอบเป็นของขวัญจากประเทศเยอรมนีในโอกาส ที่ประเทศไทยเปิดให้บริการไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรก ในสยาม ลักษณะของตู้เป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าและเป็น โลหะหล่อทั้งชิ้น สไตล์วิกทอเรียน อยู่ในช่วงรัชสมัยของ สมเด็จพระนางเจ้าวิกทอเรีย จากนั้นต่อมาตู้ไปรษณีย์มีลักษณะเป็นแท่งกลมและเป็นโลหะหล่อทั้งชิ้น ซึ่ง ตู้ไปรษณีย์ลักษณะดังกล่าวนี้สั่งทํามาจากต่างประเทศ โดยรุ่นแรกสั่งทําจากประเทศอังกฤษในช่วงปลายรัชสมัย รัชกาลที่ ๕ และรุ่นต่อมาช่วงต้นรัชสมัยรัชกาลที่ 5 สั่งทําจากประเทศสิงคโปร์ ในแบบต่อมาเป็นตู้ซีเมนต์หล่อ มีตราครุฑและแตรงอนสัญลักษณ์ของการไปรษณีย์ ไทยติดอยู่ที่ด้านหน้าตู้ เริ่มมีใช้นับแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ ช่วงต้นรัชกาลที่ ๗

เรื่องราวรอบๆ ตู้ไปรษณีย์

ตู้ไปรษณีย์ดังไม้ของหมู่เกาะ กาลาปาโกส เป็นตู้ไปรษณีย์ ที่มีประวัติมาตั้งแต่คริสต์ ศตวรรษที่ ๑๘ เกาะนี้เป็น เส้นทางผ่านของเรือโดยสาร หลายๆ แห่ง คนที่ผ่านมาสามารถหย่อนจดหมายลงในถังใบนี้โดยไม่ต้องติดแสตมป์และค้นหาดูว่าในถังมีจดหมายของคนอื่นหรือไม่ที่จ่าหน้าถึงสถานที่ซึ่งเขากําลังจะเดินทางไป ถ้ามีก็จะนําจดหมายดังกล่าวไปส่งด้วยตัวเอง…น่ารักมาก

อดีตตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย (ซึ่งเคยเป็นที่สุดในโลก) ตั้งอยู่ บริเวณสี่แยกหอนาฬิกา ในอําเภอ เบตง จังหวัดยะลา มีส่วนฐานและส่วน ตู้ ฐานมีความสูง ๑.๓๐ เมตร เส้น รอบวง ๑.๖๐ เมตร ส่วนสูง ๒.๙๐ เมตร เส้นรอบวง ๑.๕๐ เมตร สร้าง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ปัจจุบันมีการสร้าง ตู้ใบใหม่ที่มีขนาดใหญ่เป็น ๓.๕ เท่า ในบริเวณเดียวกัน ถือเป็นตู้ไปรษณีย์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน ตู้ทั้งสองใบยังสามารถใช้ส่งจดหมายได้ตู้ไปรษณีย์ขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น ตู้ไปรษณีย์ของประเทศแคนาดา มีความสูงถึง ๑๗ ฟุต (๕.๑๘ เมตร) ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า Canada Place

ประเทศไทยมีตู้ไปรษณีย์ทั้งหมด ๒๖,๗๐๑ ตู้
(ข้อมูลล่าสุด ปี พ.ศ. ๒๕๕๙)

สามารถดูตู้ไปรษณีย์แบบต่างๆ ของไทยในอดีต (สร้างจําลอง ขึ้นใหม่) ได้ที่พิพิธภัณฑ์ ไปรษณีย์ไทย บริเวณสํานักงาน ไปรษณีย์นครหลวงเหนือ ด้าน หลัง ปณจ. สามเสนใน ข้าง สถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย

ตู้ไปรษณีย์ใบแรกในไทยเป็นตู้ของ ขวัญจากประเทศเยอรมนี ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๕ เป็นตู้เหล็กหล่อมี ลวดลายสวยงาม ตู้ใบนี้ช่วงเวลามี
งานไปรษณีย์จะนํามาจัดแสดงให้ชม กัน ต่อจากนั้นเมื่อมีการขยายกิจการ ไปรษณีย์ มีการตั้งตู้ตามท้องถนนก็มีวิวัฒนาการต่อเนื่องมา มีการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ โดยก่อนจะเป็น ตู้ไปรษณีย์สี่เหลี่ยมก็มีตู้กลม สมัย รัชกาลที่ ๗ เป็นผู้ปูน มีขนาดใหญ่ และเมื่อเห็นว่ามีไปรษณียภัณฑ์ไม่มาก การจะลงทุนนําตู้ขนาดใหญ่ไปตั้งนั้น คงไม่คุ้มค่า ตู้ไปรษณีย์ต่อมาจึงปรับ ขนาดลง และที่คุ้นเคยกันในวันนี้เป็น ตู้ไปรษณีย์สี่เหลี่ยม สีแดงสดใส กระจายอยู่ทั่วไป

สถานที่ติดตั้งตู้ไปรษณีย์ที่มีความเป็นที่สุดของไทยมี ๑๔ แห่ง ได้แก่ ตึกใบหยก ตึกสูงที่สุด จุดติดตั้งบริเวณชั้น ๗๗ ตึกใบหยก ๒/ เกาะช้าง จังหวัดตราด บริเวณจุดชม วิวไก่แบ้ / ภูเรือ จังหวัดเลย จุดติดตั้งบริเวณเกษตรที่สูงภูเรือ/ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ตู้ไปรษณีย์ตั้งอยู่ที่ กม. ๓๑ บริเวณทางขึ้นอุทยานแห่งชาติฯ/ อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บริเวณที่ตั้งป้าย “เหนือสุดแดนสยาม” มีตู้ไปรษณีย์สีแดงโดดเด่น/ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ หน้าอาคารบริการนักท่องเที่ยว/ อําเภอ แม่สอด จังหวัดตาก ตะวันตกสุดของประเทศไทย มีตู้ไปรษณีย์ตั้งอยู่ที่ตลาดริมเมย น้ําตกทีลอซู จังหวัดตาก จุดติดตั้งที่ทําการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ/ อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ตั้งอยู่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว/ อุทยานมังกรสวรรค์ จังหวัดสุพรรณบุรี / แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ตั้งที่จุดชมวิว/ ท่าเรือปากเม็ง จังหวัดตรัง อําเภอเบตง จังหวัดยะลา ตั้งหน้าโรงแรมแกรนด์วิว และที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งที่อาคารบริการนักท่องเที่ยว แต่ละสถานที่ออกแบบ สะท้อนสัญลักษณ์ที่สุดของเมืองไทยในแต่ละด้านตามลักษณะเฉพาะของสถานที่นั้นๆ มีสีสันลวดลายรับกับสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวที่นําตู้ไปรษณีย์ไปติดตั้ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวส่งความคิดถึงหาใครได้ง่ายขึ้น

บุรุษไปรษณีย์…ที่รัก

หากไม่มีบุรุษไปรษณีย์ จดหมายก็คง ไม่ถูกนําออกจากตู้มุ่งสู่คนรับ พ.ศ.๒๔๒๘ ยังมีบุรุษไปรษณีย์ พายเรือส่งจดหมาย ตามบ้าน เป็นภาพชินตาสําหรับคนกรุงเทพฯ สมัยนั้น ขณะที่บนถนน บุรุษไปรษณีย์สะพาย กระเป๋าใส่เอกสารตราครุฑใบโตพร้อมร่ม ญี่ปุ่นคันใหญ่เดินเท้าเปล่าหาผู้รับจดหมาย ตามหน้าซอง ซึ่งบางทีก็หงายหลังกลับแทบ ไม่ทันเพราะจดหมายที่ส่งเป็นการแกล้งให้คน รับเสียค่าปรับจนผู้รับไม่ยอม มีการเถียงกัน ลั่นซอย นั่นเป็นภาพอดีตสมัยรัชกาลที่ ๕ และ รัชกาลที่ ๖

สมัยก่อนบุรุษไปรษณีย์แต่งตัวโก้กว่า ตํารวจ เพราะต้องเข้าห้างฝรั่ง ใส่โจงกระเบน ถือร่มญี่ปุ่น เพียงแต่ไม่สวมรองเท้า (ปี ๒๕๔๐ จึงสวมรองเท้าเพราะถนนแฉะ) แล้วก็เปลี่ยนแบบไปเรื่อย จนระยะหลังไม่มีเครื่องแบบแล้ว

บุรุษไปรษณีย์สยามเปลี่ยนการแต่งตัว ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นเครื่องแบบ สีน้ําตาล สวมหมวก สวมรองเท้าสีดํายกเลิก การถือร่ม แต่ยังคงสะพายกระเป๋าจดหมาย และเปลี่ยนอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นชุด ข้าราชการสีน้ําตาล ปล่อยชายเสื้อ สวมหมวกและรองเท้าแบบเดิม ก่อนที่ พ.ศ. ๒๕๑๗ จะกลับไปใช้ชุดไม่ปล่อยชายเสื้อเหมือนสมัย พ.ศ. ๒๔๗๘ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖

เป็นเวลา ๑๐๐ กว่าปีแล้วที่บุรุษไปรษณีย์ ไทยออกเดินทางพร้อมจดหมายจากที่หนึ่งไป อีกที่หนึ่งด้วยความตั้งใจ ในอดีต บุรุษ ไปรษณีย์บางคนนอนบนถุงเมล์กองโตในโบกีรถไฟ บางคนนอนเฝ้ากองจดหมายท้ายรถบางคนพายเรือ บางคนปั่นจักรยาน เมื่อรับรู้ เรื่องราวเหล่านี้แล้วทําให้ตระหนักว่า แม้การ เขียนจดหมายไปมาหาสู่กันในแบบเดิมอาจไม่ เร็วทันใจเท่าการส่งอีเมลในสมัยนี้ แต่ความ รู้สึกยามเขียน ความหมายจากแสตมป์ และ ความรู้สึกดีๆ ในซองจดหมาย ซึ่งผู้รับจะได้สัมผัสยามเปิดอ่าน ยังทําให้การเขียนจดหมายแล้วนําไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์มีเสน่ห์อยู่เสมอ…

ไม่เชื่อลองหากระดาษ ปากกา มาเขียนจดหมายถึงใครสักคนดูบŒางไหม

About the Author

Share:
Tags: post office / mailbox / ฉบับที่ 18 / จดหมาย / ตู้จดหมาย / ไปรษณีย์ / แสตมป์ / stamp / letter /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ