หลวงปู่รุ่งในสมัยที่ท่านยังหนุ่มๆ ท่านก็เคยไปเรียนกับหลวงพ่อรุฬท่านนี้ อีกประการหนึ่งหลวงปู่ท่านชอบออกธุดงค์ ท่านไปเกือบทุกปี เข้าใจว่าท่านไปสมาทานธุดงค์กับหลวงพ่อรุฬท่านนี้ คนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ข้างๆ วัดเล่าให้ฟังว่าพอออกพรรษาท่านจะไปรุกขมูล ส่วนใหญ่ท่านชอบเดินขึ้นไปแถบกำแพงเพชร สุโขทัย พอใกล้เข้าพรรษาท่านจะกลับมา พอชาวบ้านรู้ข่าวพวกคนที่ชื่นชอบเครื่องรางของขลังก็จะมารอกันเป็นแถวทีเดียว เพราะท่านมักจะเอาพระมาฝาก บางครั้งก็เป็นพระกรุในแถบจังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย บางครั้งก็เป็นพระของสหธรรมิกของหลวงปู่ ยังเคยมีคนเคยได้พระปิดตาของหลวงพ่อเชยวัดท่าควายที่หลวงปู่รุ่งนำมาแจกอยู่หลายคน จนแถววัดท่ากระบือเขาเรียกว่า ปิดตาผงใบลานหลวงปู่รุ่ง
นอกจากครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่ได้ไปศึกษาด้วย พระสงฆ์ที่หลวงปู่สนิทสนมก็มีอยู่หลายรูปด้วยกัน เช่น หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เล่ากันว่าท่านมักไปมาหาสู่กับหลวงปู่บุญเสมอๆ แม้หลวงปู่บุญตอนที่ท่านใกล้ละสังขารยังสั่งกับหลานของท่านว่า “เมื่อสิ้นฉันไปแล้ว ถ้ามีอะไรก็ไปหาท่านรุ่งนะ เขาแทนฉันได้” แสดงให้เห็นถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่หลวงปู่บุญมีต่อหลวงปู่รุ่ง อันที่จริงหลวงปู่รุ่งเป็นพระในเขตปกครองของพระพุทธวิถีนายก (หลวงปู่บุญ) นอกจากนี้ก็มีหลวงปู่แขก แห่งวัดบางปลา องค์นี้ชอบลองวิชากับหลวงปู่รุ่งบ่อยๆ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม แม้แต่หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านก็ชอบพอกัน และมักจะมีเรื่องเล่าของหลวงปู่กับสหธรรมิกของท่านเสมอ
ครั้งหนึ่งลูกศิษย์ของหลวงปู่แขก วัดบางปลาได้เดินทางมาวัดท่ากระบือเพื่อขอตะกรุดโทนของหลวงปู่รุ่ง วัดบางปลาเป็นวัดที่อยู่ริมน้ำเช่นกัน เป็นอารามที่มีปรมาจารย์ผู้วิเศษพำนักอยู่ที่นี่ ท่านคือหลวงปู่นุต พระร่วมยุคหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน อายุพรรษาสูงกว่าหลวงปู่ศุข คนแถบนั้นจะเรียกท่านว่า หลวงปู่เฒ่าเก้ายอด เก่งขนาดที่ว่าเสด็จเตี่ยยังยอมรับ สร้างศาลาถวายเป็นอนุสรณ์ไว้ที่วัดหลังหนึ่ง เรื่องนี้คนแถบวัดเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งเสด็จเตี่ย (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เสด็จประภาสลำน้ำท่าจีน เมื่อเรือที่ประทับแล่นมาเรื่อยๆ ทันเห็นนกฝูงหนึ่ง ท่านเลยนำพระแสงปืนมาทดลองยิงเพื่อสอบความแม่นยำ ท่านเล็งไปแล้วสับไกลปืน ปรากฏว่าพระแสงปืนไม่ลั่น (ปกติพระแสงปืนของท่านมีการลงคัดถอนอาถรรพ์เอาไว้) พระองค์ทราบทันทีว่าในอาณาบริเวณนั้นนั้นมีผู้เรืองวิชาอยู่ พระองค์ตรัสให้เรียบเรือที่ประทับเข้าใกล้ฝั่ง พระองค์สังเกตเห็นพระภิกษุชรากำลังทรงน้ำที่ท่าน้ำของวัด พระองค์ทรงแกล้งเล็งพระแสงปืนที่ฝูงนกอีกครา
คราวนี้ภิกษุชราก็กล่าวด้วยซุ่มเสียงที่ดังกังวานว่า “จะไปยิงนกมันทำไม เอ็งยิงคนเลยไม่ดีกว่ารึ” เมื่อเสด็จในกรมท่านได้ฟังดังนั้น ใจหนึ่งก็ทรงพิโรธ ใจหนึ่งก็อยากลองของ คิดไปว่าถ้าเขาไม่มีดีคงไม่กล้าท้าทายพระองค์ พระองค์จึงเล็งพระแสงปืนไปยังภิกษุชราแล้วสับไกลถึงสามครั้ง แต่พระแสงปืนไม่ลั่นแม้แต่ครั้งเดียว ฝ่ายหลวงพ่อเฒ่าผู้เป็นดังเทพเจ้าแห่งวัดบางปลา เห็นเสด็จในกรมทำเช่นนั้นท่านก็ว่า “งั้นข้าลองมั่ง” หลวงพ่อเฒ่าเพียงหยิบผ้าอาบที่พาดไว้บนบ่าสะบัดไปในอากาศเพียงเท่านั้น เสด็จในกรมถึงกลับเซแทบล้มลงจนมหาดเล็กและทหารรับใช้ต้องเข้ามาประคอง เมื่อรู้พระองค์จึงตรัสให้เทียบเรือที่วัดบางปลาทันที เมื่อได้สนทนากับหลวงพ่อเฒ่าเก้ายอดผู้วิเศษ
หลวงพ่อเฒ่าได้เทศนาเรื่อการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในทำนองที่ว่า “แม้มหาบพิตรจะเป็นพระราชโอรสผู้มีศักดิ์ใหญ่ แต่การเข่นฆ่าชีวิตของผู้อื่นไม่ว่าคนหรือสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่หาสมควรไม่ ทุกชีวิตมีสิทธิ์ที่จะได้เกิดมาเพื่อโบยบินดูโลกอย่างเป็นสุขโดยเท่าเทียม อีกทั้งการกระทำเช่นนี้จะทำให้พระองค์มีอายุขัยที่ไม่ยืนยาว แต่บัดนี้ไปอาตมาขอบิณฑบาตชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเถิด”
หลังจากเหตุการณ์คราวนั้นเสด็จในกรมฯ ได้สร้างศาลาหลังหนึ่งถวายไว้ที่วัดบางปลา การที่คนทั่วไปไม่ค่อยมีใครรู้จักหลวงพ่อเฒ่านุตเพราะท่านเป็นพระเถระยุคเก่ามาก ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่แขกเองก็ไม่ใช่พระธรรมดา เหรียญรุ่นแรกท่านก็เป็นแสนเหมือนกัน หลวงปู่แขกท่านจะมีกระดานแผ่นหนึ่งสำหรับนั่งกัมมัฏฐาน ศิษย์ของท่านเล่าว่าท่านนั่งสมาธิภาวนาวันละหลายชั่วโมงจนไม้กระดานยุบเป็นรอยที่ท่านนั่งเลย คิดดูเอาเถิดกว่าที่ท่านจะเป็นยอดคนก็ต้องผ่านการฝึกฝน ท่านเคยเคี่ยวปรอทจนเกือบสำเร็จ เคี่ยวไปได้ ๙๙ ไปครบ ๑๐๘ ไฟก็จะสำเร็จแล้ว ปรอทดังบินหนีไปเสียก่อน
วันหนึ่งหลวงปู่แขกท่านมีเรื่องขัดเคืองใจกับหลวงพ่อรุ่ง หลวงปู่แขกท่านอาวุโสกว่าหลวงปู่รุ่ง ว่าแล้วท่านก็ร่องเรือมาที่วัดท่ากระบือทันที เมื่อมาถึงก็เย็นมากแล้ว ท่านให้ลูกศิษย์จอดเรืออยู่ในแม่น้ำหน้าวัดโดยไม่เข้าไปเทียบที่ท่าน้ำ แล้วท่านก็นั่งสมาธิภาวนาคาถาอะไรสักอย่าง ครู่หนึ่งก็เกิดเป็นลมพายุขนาดใหญ่พัดอื้ออึงทั่วอาณาบริเวณวัดท่ากระบือ โดยเรือที่หลวงปู่แขกนั่งภาวนาอยู่ไม่มีอาการสั่นไหวแม้แต่น้อย แต่ในเขตวัดท่ากระบือต้นไม้ถึงขนาดลู่ลมโอนเอนไปตามกัน พระภิกษุต่างก็แตกตื่นไม่เป็นอันทำกิจใดๆ วิ่งเข้าหลบภายในกุฏิเป็นการใหญ่ หลวงปู่รุ่งเห็นเหตุการณ์ดังนั้น เสียงหลวงปู่ดังขึ้นว่า “ใครวะมันมาลองของกู” หลวงปู่รุ่งรีบเดินจีวรปลิวมาที่หน้าวัดท่ากระบือ หยิบใบจากที่ขึ้นอยู่แถวๆ หน้าวัดมาเสกสักครู่หนึ่งแล้วเป่าออกไป ใบจากนั้นแหวกน้ำออกไปเป็นทาง พอกระทบกับเรือของหลวงปู่แขกเท่านั้น เรือก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วตกลงมาคว่ำลงทันที หลวงปู่แขกท่านตกน้ำ โชคดีที่เรือจอดอยู่ไม่ห่างจากฝั่งมาก หลวงปู่จึงขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย หลวงปู่รุ่งท่านแกล้งทักว่า “นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็หลวงพี่เอง”
หลวงปู่แขกท่านอายุมากกว่าหลวงปู่รุ่ง ๑ พรรษา แล้วท่านยังพูดสัปยอกอีกว่า “นึกยังไงสรงน้ำซะมืดค่ำเชียว หรือว่าอากาศมันร้อน นิมนต์จำวัดด้วยกันเลย” คืนนั้นหลวงปู่แขกเลยจำวัดที่วัดท่ากระบือนั่นเอง รุ่งเช้าหลวงปู่แขกได้ต่อว่าหลวงปู่รุ่งเรื่องลูกศิษย์ที่มาขอตะกรุด เรื่องมันมีอยู่ว่า มีคุณตาท่านหนึ่ง (คุณตาเที้ยว เฮ้าเจริญ) บ้านอยู่แถววัดบางปลาเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่แขก หลวงปู่แขกกับหลวงปู่รุ่งท่านเป็นสหธรรมิกกันและชอบลองวิชา หลวงปู่แขกได้แนะนำให้คุณตาท่านนี้สมัยนั้นคงยังรุ่นๆ อยู่ ไปขอของดีจากหลวงปู่รุ่งแล้วแนะนำว่า “ตะกรุดโทนของหลวงพ่อรุ่งดีนะ ปืนไม่ได้กินหรอก” (โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)