“แหม-ผมงี้อายไอ้ตี๋แทบแทรกแผ่นดินหนี” พี่สิทธิ์หัวเราะเอิ๊กอ๊าก “ตั้งแต่นั้นมาไม่กล้าไปร้านนั้นอีกเลย”อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านพี่ต่วยเอง สังสรรค์วันเสาร์นี่แหละครับ
หลังจากดื่มกินกันพอตึงๆ หน้าแล้ว ผมก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนไปราชการที่อำเภอลับแล ได้ “อุ” มาหนึ่งไห ตั้งใจจะเอามาฝากพรรคพวกดูดกัน ก็เลยชวนมหาไต้ ตามทาง (เสฐียรพงษ์วรรณปก ราชบัณฑิตในปัจจุบัน) ขับรถกลับมาช่วยขนไหที่บ้านผมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพี่ต่วยเท่าไรนัก คณะพรรคชอบใจกันใหญ่ล้อมวงอุ้มไหผลัดกันดูดอุด้วยหลอดฟางยาวเฟื้อยอย่างสนุกสนานธัน
กำลังดูดเพลินๆ ก็ตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อปรากฏมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายบุกเข้ามาในบ้าน แจ้งความประสงค์ขอเข้าจับกุมไปดำเนินคดี! วงดูดอุแตกฮือไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พี่ต่วยเจ้าของบ้านเข้าห้องนํ้าปิดประตูแน่นหนา นอกนั้นก็หาที่ซ่อนตำรวจตามแต่จะนึกได้
พี่วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีตำรวจอยู่ในขณะนั้นและนั่งอยู่ในกลุ่มของพวกเรา ต้องออกไปแสดงตัวสอบถามสาเหตุที่ลูกน้องเข้ามาจับกุมนาย
ที่บันเทิงที่สุดคือ การได้ฟัง
นักเขียนใหญ่ของยุคนั้น
เล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิต
สารพัน แกล้มเหล้า
ที่ถ้อยทีถ้อยจิบกันตั้งแต่
เช้าจดเย็น
ตำรวจบอกว่า มีคนโทรศัพท์เข้าไปแจ้งให้มาจับกุมบ้านนี้เพราะสงสัยว่าจะเปิดบ่อนการพนัน (คงเป็นบ้านข้างๆ ที่รำคาญเสียงเอะอะทุกสัปดาห์มาเป็นเวลานานแล้วนั่นแหละครับ) สรุปว่าบ่อนการพนันก็ไม่มี “อุ” ก็ซื้อหามาโดยถูกต้องตามกฎหมายตำรวจทั้งสองยืนตัวแข็งทำความเคารพท่านรองอธิบดีของตัวเองแล้วรีบลากลับไปอย่างรวดเร็ว
ผมเล่าเรื่องเก่าๆ นี้สู่กันฟังด้วยความระลึกถึงพระคุณวาทินปิ่นเฉลียว พี่ต่วยผู้จากไปเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความอาลัยรักของผู้ที่ได้รู้จักทุกคน ทิ้งไว้แต่สโลแกนไม่มีวันตาย “การเมืองไม่ยุ่ง การมุ้งไม่เกี่ยว ฮาลูกเดียว ขับเคี่ยวความขัน”ที่พี่ต่วยยึดถือมาตลอดชีวิตการทำหนังสืออันยาวนาน
สุคตินั้นจึงเป็นที่หวังได้แน่นอน