หลวงพ่อพรหมออกเดินธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆอยู่นาน ๒-๓ ปี จึงธุดงค์มาถึงเขาช่องแค ขณะนั้นเกิดฝนตกหนัก ท่านจึงเข้าไปพักจำพรรษาและปฏิบัติพระกรรมฐานในถ้ำเล็กบนเขาช่องแคเรื่อยมา(บนเขามี ๒ ถ้ำที่อยู่ติดกัน คือ ถ้ำเล็กหรือ “ถ้ำหลวงพ่อพรหม” และถ้ำใหญ่หรือ “ถ้ำแม่นมยาน” หลวงพ่อพรหมเคยบอกกับคุณพ่อของกรรมการวัดช่องแคท่านหนึ่งว่า “ถ้ำใหญ่สามารถเดินทะลุไปถึงเพชรบูรณ์ได้” ซึ่งปัจจุบันมีหินปูนงอกมาปิดทางเดินตอนกลางของถ้ำใหญ่ทำให้ถ้ำตัน)
ชาวบ้านละแวกนั้นเห็นเข้าก็เกรงว่าการบิณฑบาตและการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงพร้อมใจกันนิมนต์หลวงพ่อพรหมออกมาจากถ้ำ เพื่อมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บริเวณตีนเขาช่องแค เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๐ โดยมีกำนันคล้าย มีสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าคณะ นางแตงกวา ตั้งสุวรรณ นางเผือก เพชรมนตรี ฯลฯ เป็นผู้ติดตาม ซึ่งหลวงพ่อก็รับนิมนต์
หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์
ขณะนั้นสำนักสงฆ์ช่องแคยังไม่มีเจ้าอาวาส มีเพียงพระภิกษุจำพรรษาเพียง ๒ รูป และสำนักสงฆ์ก็ยังไม่มีเสนาสนะใดๆเลย
หลวงพ่อพรหมจึงได้ขายที่ดินมรดกของท่านที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นทุนแรกเริ่มในการก่อสร้าง จากนั้นชาวช่องแคจึงร่วมกันระดมทุนเพื่อสร้างเสนาสนะต่างๆภายในสำนักสงฆ์ ทำให้สำนักสงฆ์มีเสนาสนะต่างๆมากมาย และแปรเปลี่ยนเป็นวัด(ได้รับใบอนุญาตตั้งวัด) เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๒ โดยหลวงพ่อพรหมเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก
ภายหลังในปี พ.ศ.๒๕๑๔ หลวงพ่อพรหมลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส เพื่อให้พระอาจารย์แบ๊ง ธมฺมวโร(พระครูนิวิฐธรรมวัตร) รองเจ้าอาวาสในขณะนั้น เป็นเจ้าอาวาสสืบแทนหลวงพ่อพรหม
ตลอดระยะเวลา ๕๘ ปี ที่หลวงพ่อพรหมจำพรรษาอยู่ที่วัดช่องแค ท่านไม่เคยย้ายไปอยู่ที่วัดใดเลย แถมยังสร้างคุณประโยชน์ให้แก่วัดและตำบลช่องแคอีกด้วย เช่น ทำนุบำรุงพระศาสนา อุปการะเลี้ยงดูเด็กที่ด้อยโอกาส สร้างโรงเรียนวัดช่องแค มอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นผู้นำชุมชน เป็นต้น กระทั่งเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ท่านได้มรณภาพลงที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ด้วยอาการอันสงบ สิริอายุได้ ๙๑ ปี ๗๑ พรรษา
แม้ว่าหลวงพ่อพรหมจะจากพวกเราไปกว่า ๓๘ ปี(พ.ศ.๒๕๕๖) แล้วก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้น ก็ยังคงอยู่มิเสื่อมคลาย ดังเช่นเหตุการณ์ที่ผู้เขียนหยิบยกมาให้ผู้อ่าน ดังนี้
๑) มรณภาพแล้วไม่เน่าเปื่อย หลวงพ่อพรหมหลังจากมรณภาพแล้ว คณะกรรมการวัดจึงนำสรีระของท่านมาบรรจุในโลงแก้วบนศาลาการเปรียญ พบว่าสรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย(แม้ว่าจะไม่ได้ฉีดยาฟอร์มาลีน) ไม่มีแม้กระทั่งมด มอด ไร และแมลงต่างๆเข้ามารบกวนหรือทำลายสรีระของท่านเลยแม้แต่น้อย เสมือนว่าท่านกำลังนอนหลับอยู่ แถมเล็บมือ เล็บเท้า เส้นผม ขนคิ้ว ขนตา หนวด และเคราของท่านยังงอกยาวอยู่เรื่อยๆ เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง
๒) หลวงพ่อเข้าฝันให้เจาะรูที่โลง เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๒–๒๕๒๓ คุณบุญเรือน อุ่นลาย ได้มาพบพระอาจารย์แบ๊ง ธมฺมวโร เจ้าอาวาสวัดช่องแคในขณะนั้น(เจ้าอาวาสรูปที่ ๒) แล้วบอกว่า “หลวงพ่อพรหมมาเข้าฝันบอกว่า อยู่ในโลงรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เพราะฝาโลงไม่มีช่องระบายอากาศ ให้ทำช่องระบายอากาศให้ด้วย” พร้อมทั้งถวายเงินให้วัดจำนวนหนึ่งแสนบาท(ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการซื้อหวยตามตัวเลขที่ปรากฏบนฝาโลง) เพื่อนำไปสร้างช่องระบายอากาศภายในโลงแก้วของหลวงพ่อ พอพระอาจารย์แบ๊งไปสำรวจดูที่โลงแก้วก็พบว่า โลงแก้วของหลวงพ่อปิดทึบ ไม่มีช่องระบายอากาศจริงๆ จึงได้ทำการเจาะช่องสี่เหลี่ยมภายในโลงแก้วตรงบริเวณหน้าหลวงพ่อโดยช่างพิมพ์ ปานงาม(โลงแก้วที่กล่าวถึงนั้น เป็นโลงแก้วอันเก่ามีสีเหลืองทอง ไม่ใช่โลงแก้วปัจจุบันที่เป็นโลงแก้วฝังมุก)
เรื่องที่ผู้เขียนหยิบยกมาเล่าขานทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวของเรื่องเล่าขานที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อพรหม แสดงให้เห็นว่าท่านยังคงเป็นห่วงใยพวกเราอยู่เสมอ เช่นเดียวกับพวกเราที่ยังคงรักและศรัทธาในหลวงพ่อพรหม และหลวงพ่อยังคงเป็นที่พึ่งให้แก่ศิษยาสานุศิษย์รวมทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไปแม้ท่านจะละสังขารไปนานแล้วก็ตาม ฉบับหน้าจะได้เล่าถึงวัตถุมงคลรุ่นต่าง ๆ ที่หลวงพ่อพรหมท่านได้สร้างเอาไว้ครับ( โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)