Wednesday, December 11, 2024
พระเครื่อง ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำท่าจีน ตอนที่ ๓

           เมื่อได้ฟังดังนั้นคุณตาจึงเดินทางไปที่วัดท่ากระบือทันที พอมาถึงเห็นพระแก่ ๆ รูปหนึ่งกำลังเอาจอบถากหญ้าอยู่ จึงเข้าไปถามหาหลวงปู่รุ่ง พระองค์นั้นตอบกลับมาว่า “กูนี่แหละสมภารรุ่ง มึงมีธุระอะไร” คุณตาตอบหลวงปู่ไปว่า “กระผมอยากได้ตะกรุดโทนไว้ใช้สักดอก” หลวงปู่ตอบกลับไปว่า “กูไม่มีหรอกยังไม่ได้ทำไว้” ด้วยความอยากได้คุณตายังคงตื้อดึงต่อ “ถ้ากระผมจะเอาแผ่นมาให้ลงหลวงปู่จะลงให้ได้ไหม” คุณตาเพิ่งเคยมาพบหลวงปู่เป็นครั้งแรกจึงไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านไม่ชอบคนเซ้าซี้ ท่านว่า “ไอ้นี่มันพูดไม่รู้ฟังเอาจอบฟันหัวมันซะดีไหม” แล้วท่านก็เอาจอบฟันดินไปรอบ ๆ ด้วยความรุนแรงชนิดที่ว่าเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น คุณตาเล่าว่า จริง ๆ ก็กลัวแต่ในใจรู้ว่าพระฆ่าคนไม่ได้เป็นปราชิกแกก็คิดของแกอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดหลวงปู่ก็ว่า “ไอ้นี่มันทนจริง ๆ โว้ยไปรอกูที่กุฏิ” สักพักหลวงปู่ท่านเดินมาแล้วท่านก็ขึ้นไปบนกุฏิ แล้วหยิบเอาผ้ายันต์ให้คุณตาผืนหนึ่งพร้อมกับบอกว่า “ตะกรุดไม่มีหรอก มีแต่ผ้านี่แหละ”

คุณตาลากลับทันทีด้วยความไม่พอใจอย่างแรงเนื่องจากการเดินทางสมัยนั้นจากวัดบางปลาไปยังวัดท่ากระบือต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ พร้อมกับคิดว่า เสียเวลาจริง ๆ ต้องรีบไปต่อว่า อาจารย์แขกวัดบางปลาซะหน่อย แนะนำไปหาใครก็ไม่รู้ดุยังเสือ พอมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ ที่พักปลายสวนแก แกก็เลยเอาผ้ายันต์ที่หลวงปู่ให้มาซุกไว้บนชายหลังคาจากให้หายแค้นพร้อมคิดในใจว่าถ้าไม่ติดว่าเป็นรูปองค์พระล่ะก็ จะเอาทิ้งน้ำให้ดู พร้อมกับรีบเดินทางไปวัดบางปลา เพื่อไปต่อว่าหลวงปู่แขก เมื่อเล่าทุกอย่างให้หลวงปู่ฟังแล้ว หลวงปู่แขกบอกว่าอีกวันสองวันท่านจะเดินทางไปที่วัดท่ากระบือ

        เมื่อหลวงปู่แขกเล่ามาถึงตรงนี้หลวงปู่รุ่งบอกว่า “ก็ให้ผ้ายันต์มันไปแล้วนี่ อุตส่าห์ให้ผ้ายันต์พุทธนิมิตมันไป พอดีตะกรุดไม่มี ไม่ค่อยว่างทำ เพราะทำยาก” หลวงปู่แขกก็ว่า “ทีหลังท่านก็บอกมันดี ๆ สิ มันอุตส่าห์เดินทางเป็นวัน ๆ ลงอะไรให้มันสักตัวสองตัวก็ได้” หลวงปู่รุ่งท่านก็ตอบไปว่า “ก็มันไม่บอกเองนี่ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพี่

ฝ่ายคุณตาคนนั้นก็มิได้สนใจผ้ายันต์ผืนดังกล่าวอีกเลย แกยังคงเข้าสวนแกตามปกติ แต่อยู่มาวันหนึ่งลูกชายแกมาตามพร้อมกับบอกว่ามีเรื่องแปลก คือจุดไฟเผาหญ้าที่ปลายสวน พอไฟลามไปใกล้ ๆ กระท่อมมันก็ดับสนิท คุณตาแกเลยออกไปดูก็เป็นดังนั้น แกจึงว่า ไหนข้าลองมั่ง แกจุดไฟแล้วโยนขึ้นไปบนหลังคากระท่อมที่เป็นจาก แทนที่ไฟจะลุกไหม้ มันก็ดับอีก ลองดูหลายครั้งผลก็เป็นเช่นเดิม แกนึกขึ้นมาได้ว่า หรือจะเป็นเพราะผ้ายันต์ของหลวงปู่รุ่ง แกจึงเดินไปแล้วหยิบผ้ายันต์ที่แกซุกไว้ออกมา แล้วลองโยนจุดไฟดูใหม่ คราวนี้แกไม่ได้เตรียมน้ำเอาไว้ ปรากฎว่าไหม้เรียบทั้งหลัง แกว่าผ้ายันต์อาจารย์รุ่งวัดท่าควายนี่แน่จริง ๆ สุดท้ายจึงนำผ้ายันต์ผืนดังกล่าวมาใส่กรอบไว้ อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

         ผ้ายันต์ดังกล่าวเป็นรูปพระพนมมืออยู่ในซุ้มยันต์นวหรคุณ(อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ) ที่รัศมีลงพระเจ้า ๑๖ พระองค์เอาไว้ (นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง อะสุนะอะ) คาถาบทนี้หลวงปู่รุ่งท่านสรรเสริญเอาไว้มาก ท่านมักให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด(ก๋งตัน  แช่มสาคร) เอาไว้ป้องกันคุณไสยภูตผีปีศาจสารพัด นอกจากนี้ก็มีคาถาพระเจ้าห้าพระองค์(นะ โม พุท ธา ยะ)ด้วย ด้านบนมีพระปิดตา มีอักขระ มะ อะ อุ อยู่ข้าง ๆ ถ้าเจอที่ไหนรีบเก็บไว้เลยนะครับของหลวงปู่รุ่งท่านทำเอาไว้แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก

           นอกจากนั้นผู้เขียนยังเคยได้ฟังเรื่องทำนองเดียวกันนี้จากอาจารย์สุวัฒน์ (อาจารย์เบิ้ม) ศิษย์ของอาจารย์รอด สุขเจริญ ท่านอยู่แถบคลองภาษีเจริญ อาจารย์รอดท่านนี้เป็นฆราวาสที่เก่งมาก ท่านอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี แต่ก่อนเคยบวชเป็นพระเคยออกธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่รุ่ง ท่านได้เคยเล่าให้ศิษย์ของท่านฟังว่า หลวงปู่รุ่งเป็นผู้ที่มีอภิญญาจิตแก่กล้า ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ได้คล่องแคล่ว ทำได้ใกล้เคียงกับองค์อาจารย์ คือ หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่าทีเดียว ท่านว่าครั้งที่ไปธุดงค์ด้วยกัน มีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และหลวงพ่อทองสุขวัดโตนดหลวง เพชรบุรีร่วมเดินทางไปด้วย มีคราวหนึ่งคณะที่ไปธุดงค์ด้วยกันท่านได้ไปปลักกลดบริเวณพื้นที่ป่าแห่งหนึ่ง ไม่นานนักหลักจากการหยุดพักเพื่อหาที่สัปปายะในการเจริญภาวนา ได้มีชาวบ้านซึ่งเดินทางหาของป่าและกำลังจะเดินทางกลับแวะมานมัสการคณะของพระธุดงค์ดังกล่าว พร้อมกับได้เอ่ยขึ้นว่า “ขอให้พวกหลวงพ่อถอนกลดไปปักที่อื่นเถิด ที่นี่เสือมันชุม มีพระหลายองค์เคยมาปักกลดที่นี่แล้วไม่เคยมีองค์ไหนรอดกลับไปได้โดนเสือมันกินหมด” เมื่อได้ฟังดังนั้นทุกคนก็ได้แต่นิ่งเฉย เพราะแต่ละองค์ก็ล้วนมีความเชื่อมั่นในอาคมของตน อีกประการหนึ่งแต่ละองค์ล้วนมีอิทธิฤทธิ์ไม่ใช่น้อย อีกประการหนึ่ง ท่านถือว่าเมื่อปลักกลดที่ใดแล้วจะไม่ถอนกลดเด็ดขาด แต่มีเพียงหลวงปู่รุ่งเพียงองค์เดียวพูดขึ้นว่า “ให้เสือมันมากินกูที กูอยากจะเจอนัก” แล้วท่านก็ด่าต่ออีกหลายประโยค ชาวบ้านพวกนั้นเลยรีบลาจากไป

         อาจารย์รอดเล่าต่อไปว่า ทุกองค์ลงอาคมตรึงพื้นที่กลดของตนไว้แล้วเข้าสมาธิเจริญภาวนาอยู่ในกลด การธุดงค์อย่างโบราณนั้นเวลาจะปลักกลดจะมีการสร้างอาณาเขตด้วยพระเวทย์ เพื่อป้องกันสัตว์ร้าย และภูตผีปีศาจ โดยมากจะใช้บท อิติปิโสแปดด้าน ซึ่งเป็นการถอดกล อิติปิโสห้องพุทธคุณ ออกเป็นแปดวรรค แต่ละวรรคมี ๗ ตัวดังนี้ อิระชาคะตะระสา ประจำอยู่ทิศบูรพา ชื่อ กระทู้ ๗ ตะแบก ติหังจะโตโรถินัง ประจำอยู่ทิศอาคเนย์ ชื่อ ฝนแสนห่า ปิสัมระโลปุสัตพุท ประจำอยู่ทิศทักษิณ ชื่อ นารายณ์กลืนสมุทร โสมาณะกะริถาโธ ประจำอยู่ทิศหรดี ชื่อ นารายณ์พลิกแผ่นดิน ภะสัมสัมวิสะเทภะ ประจำอยู่ทิศประจิม ชื่อ ตวาดหิมพานต์ คะพุทปันทูธัมวะคะ ประจำอยู่ทิศพายัพ ชื่อ นารายณ์กลืนจักร วาโธโนอะมะมะวา ประจำอยู่ทิศอุดร ชื่อ นารายณ์กว้างจักรตรึงไตรภพ อะวิสุนุตสานุสติ ประจำอยู่ทิศอิสาน ชื่อ นารายณ์แปลงรูป ทั้งแปดบทใช้ได้มากมาย ถ้าจะให้เป็นอาณาเขต ท่านให้เสกก้อนดิน หรือก้อนหิน ด้วยอิติปิโสแปดด้าน ตามทิศที่กำหนดแล้วโยนดินเสกนั้นประจำทิศไว้ ท่านว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก นับถือกันแต่โบราณ จะลองทำไว้ป้องกันบ้านเรือนดูก็ได้ครับ หรืออีกบทหนึ่งคือ ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กึงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ  ในขณะที่ทุกองค์วางเขตอาคมด้วยวิธีต่าง ๆ บ้างเสกดินวางไว้ บ้างกำหนดจิตเป่าไปตามทิศต่าง ๆ มีเพียงหลวงปู่รุ่งองค์เดียวไม่ยอมทำอะไรเลยเอาแต่นั่งลงยันต์ที่ด้ามกลด เวลาล่วงเลยไปจนดึกสงัด ไม่นานนักมีเสือลายพลาดกลอนตัวใหญ่เดินออกมาบริเวณที่หลวงพ่อ หลวงปู่ปักกลดกันอยู่ อาจารย์รอดเล่าว่า เสือมันเดินเข้าใกล้กลดของใครไม่ได้สักองค์ ได้แต่เดินวนไปเวียนมา  ในที่สุดมันก็เดินไปทางหลวงปู่รุ่ง มันเดินเข้าไปใกล้ทำท่าจะกระโจนใส่หลวงปู่ ทันใดนั้นเองหลวงปู่เอาด้ามกลดที่ลงอาคมไว้นั้น ฟาดเข้าที่ศีรษะของเสือเต็มแรง จนเสือเผ่นหนีไป

About the Author

Share:
Tags: วัด ประเพณี วัฒนธรรม การละเล่น / หลวงพ่อรุ่ง / วัดท่ากระบือ / ฉบับที่ 71 / พระ / พระเครื่อง /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ