นิตยสารอนุรักษ์ ฉบับที่ 71
เรื่อง/ภาพ ตัวแน่น
ในสมุดบันทึกปกสีเขียวเข้มเล่มเขื่องของ เขียน ยิ้มศิริ เขียนได้เก็บรวบรวมรูปถ่ายของผลงานประติมากรรมที่สร้างสรรค์ด้วยฝีมือท่านเองเอาไว้มากมาย แต่ละหน้าของสมุดมีรูปถ่ายถูกบรรจงติดกาวเรียงรายไว้จนครบทุกแผ่นแบบเต็มคาราเบลไม่เว้นแม้กระทั่งด้านหลังของปกหน้าและหลัง รูปไหนถ้าไม่มีพื้นที่ติดจริงๆ ก็จะถูกแทรกไว้ระหว่างแผ่นกระดาษอย่างตั้งใจเหมือนที่คั่นหนังสือ บางหน้ามีรูปเสก็ตช์ชิ้นจริงที่วาดด้วยดินสอ และปากกาติดอยู่แสดงให้เห็นถึงไอเดียตั้งต้น ซึ่งเป็นเชื้อไฟจุดประกายให้เขียนพัฒนาผลงานต่อในรูปแบบสามมิติจนกลายเป็นประติมากรรมชิ้นดังอันเป็นที่เชิดหน้าชูตา ในขณะที่บางหน้ามีคลิปปิ้งบทความข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ที่ยกย่องฝีมือของเขียนให้คนทั้งประเทศได้รู้จักตัดแปะเอาไว้ สมุดเล่มนี้จึงดูคล้ายกับ ‘พอร์ตฟอลิโอ’ (Portfolio) หรือแฟ้มสะสมผลงานที่แสดงตัวตน ทักษะความสามารถ และรางวัล แบบที่คนอื่นๆ เขาใช้ประกอบเอกสารในการสมัครคัดเลือกเข้าเรียนในสถานศึกษา หรือสมัครเข้าทำงาน ต่างกันตรงที่พอร์ตโฟลิโอของหนึ่งในประติมากรอันดับต้นๆ ของประเทศในยุคนั้นอย่าง เขียน ยิ้มศิริ คงไม่ต้องเอาไปใช้ยื่นสมัครอะไรที่ไหน ในทางกลับกันน่าจะมีแต่คนจะมากราบกรานสมัครเป็นศิษย์หรือขอร่วมงานด้วยซะมากกว่า
จากรูปถ่ายในสมุดบันทึกหากไล่เรียงดูสไตล์ศิลปะของ เขียน ยิ้มศิริ ในยุคแรกๆ สมัยที่พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ส่วนใหญ่ผลงานของท่านมักเป็นประติมากรรมแบบเน้นให้เหมือนจริง เขียนปั้นเจ้านายในวัง พระสงฆ์องค์เจ้า และบุคคลสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย เขียนได้รับคำชมอยู่เนืองๆ เพราะผลงานที่ออกมานั้นดูมีชีวิตชีวาอย่างกับจะขยับได้
หลังจากนั้นเขียนค่อยๆ พัฒนารูปแบบประติมากรรมให้ก้าวล้ำขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากงานศิลปะไทยสมัยบรรพบุรุษ เขียนหลงใหลในรูปแบบที่สวยงามดั่งสวรรค์บันดาลของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย และชอบความอิสระและจริงใจในการแสดงอารมณ์ของตุ๊กตาเสียกบาล ตุ๊กตารูปคนฝีมือชาวบ้านที่ปั้นด้วยดินแบบง่ายๆ ในอิริยาบทต่างๆ เพื่อใช้ในพิธีทางไสยศาสตร์ เขียนได้คิดค้นวิธีนำเอาลักษณะไทยๆ อันมีเสน่ห์เหล่านี้มาสร้างสรรค์ให้กลมกลืนไปกับอิทธิพลศิลปะสมัยใหม่จากตะวันตกโดยลดทอนรายละเอียดยุบยิบและเน้นให้ความสำคัญกับรูปทรงและเส้นสาย เกิดเป็นผลงานรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครแถมยังล้ำหน้าเกินยุคเกินสมัยกว่าประติมากรไทยผู้ใดในยุคเดียวกัน
ผลงานสำคัญในรูปแบบสมัยใหม่ที่เขียนสร้างสรรค์ขึ้นมาและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมีอยู่หลายชิ้น เช่น ผลงานที่มีชื่อว่า เสียงขลุ่ยทิพย์, ดินแดนแห่งความยิ้มแย้ม, แม่กับลูก ซึ่งต่างก็ได้รับรางวัลจากงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติทั้งสิ้นจน เขียน ยิ้มศิริ ถูกยกย่องให้เป็นศิลปินชั้นเยี่ยมของชาติ นับเป็นเกียรติยศสูงสุดในวงการศิลปะไทย
นอกจากผลงานที่กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีประติมากรรมฝีมือเขียนอีกชิ้นหนึ่งซึ่งมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ ผลงานชิ้นนี้ถูกตั้งชื่อว่า ‘เริงระบำ’ เป็นประติมากรรมรูปหญิงชายเต้นระบำเกี้ยวพาราสีกัน นักระบำทั้งสองกวาดแขนกรีดนิ้วในท่วงท่าของการฟ้อนรำแบบไทย ในขณะเดียวกันก็เขย่งขา จิกปลายเท้าอย่างกับนักบัลเล่ต์ตะวันตก เขียน ยิ้มศิริ ผสมผสานลีลาการเต้นของสองวัฒนธรรมให้เข้ากันอย่างไม่ขัดหูขัดตาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ที่ว่าน่าสนใจเพราะตามที่มีการบันทึกไว้ประติมากรรม ‘เริงระบำ’ นั้นมีอยู่ ๒ เวอร์ชั่นซึ่งมีหน้าตาและท่าทางแตกต่างกัน เวอร์ชั่นแรกคือ ‘เริงระบำ’ ไซส์ปกติซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Fantastic Trees’ ขนาดสูงประมาณ ๓ ฟุตที่ส่งเข้าร่วมชิงรางวัลในงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ และคว้ารางวัลเหรียญเงินไปได้ในครั้งนั้น กับ ‘เริงระบำ’ อีกเวอร์ชั่นที่เขียนบรรจงทำขึ้นมาให้มโหฬารเป็นพิเศษมีขนาดพอๆ กับคนจริงๆ และตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Two Dancers’ นับเป็นผลงานประติมากรรมชิ้นใหญ่ที่สุดที่ เขียน ยิ้มศิริ เคยสร้างสรรค์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่เพียงแต่ขนาดที่พิเศษ เริงระบำไซส์ยักษ์นี้เขียนปั้นและหล่อทองสำริดขึ้นมาเพียงชิ้นเดียว แถมยังบรรจงเซ็นชื่อ ‘ข. ยิ้มศิริ’ ไว้ที่ฐาน แตกต่างจากเริงระบำขนาดปกติที่มีการหล่อซ้ำขึ้นมามากกว่า ๑ ชิ้น และไม่มีการเซ็นชื่อลงไปบนผลงาน
สาเหตุที่เขียนปั้นหล่อผลงานชิ้นเอ็กซ์คลูซีฟชิ้นนี้ขึ้นมา ก็เพราะท่านได้รับการว่าจ้างจากเจ้าของโรงแรมรามาย่านสุขุมวิทให้สร้างประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดปกติหลายเท่า เพื่อเอาไปตั้งประดับไว้บริเวณหน้าอาคารให้แขกเหรื่อที่มาพักได้ยลผลงานประติมากรชั้นครู แต่ภายหลังพอโรงแรมเลิกกิจการไป นักระบำคู่นี้ก็ได้อันตรธานไปจากสารบบวงการศิลปะไทย ที่รู้ว่าเคยมี ‘เริงระบำ’ ชิ้นยักษ์นี้อยู่ก็เพราะมีหลักฐานจากสมุดบันทึกของเขียนเล่มเดียวกับที่เกริ่นถึงก่อนหน้านี่แหละ เมื่อสร้างและติดตั้งผลงานชิ้นนี้เสร็จเขียนคงภูมิใจมากจนถึงกับถ่ายรูปประติมากรรมจากทุกซอกทุกมุมก่อนจะนำรูปที่ล้างเสร็จมาแปะไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวถึง ๗ รูป กินพื้นที่ไป ๕ หน้า ในขณะที่ผลงานชิ้นอื่นๆ เขียนเลือกแปะไว้แค่ผลงานละรูปสองรูป ไม่มีชิ้นไหนใช้พื้นที่เกิน ๒ หน้าในสมุดบันทึกที่จำนวนหน้ามีจำกัดจนต้องใช้สอยอย่างประหยัดเลย
ตั้งแต่เขียน ยิ้มศิริ ถึงแก่กรรมไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ สาธารณชนรวมถึงครอบครัวของเขียนเอง ก็ไม่ทราบว่าผลงาน ‘เริงระบำ’ ชิ้นพลัสไซส์ที่เขียนเคยสร้างระหว่างมีชีวิตอยู่ชิ้นนี้หายไปไหน จะยังอยู่หรือไม่ ผุพังไป หรือถูกหลอมทิ้งไปแล้วไม่มีใครรู้ ต่างคนต่างก็เลยตีความว่าเป็นผลงานที่สาบสูญ เหลือไว้แค่เพียงเรื่องราว และรูปถ่ายเก่าๆ ให้ดูต่างหน้า
จนเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวคราวว่าบ้านเก่าบนที่แปลงงามผืนหนึ่งในซอยสุขุมวิท ๓๘ กำลังจะถูกเปลี่ยนมือเพื่อสร้างเป็นคอนโดระฟ้า เจ้าของที่คงเห็นว่าหากย้ายออกไปสมบัติต่างๆ ภายในบ้านอาจจะพาให้ปวดขมับไม่มีที่เก็บจึงตัดใจแบ่งขายให้กับญาติสนิท และคนใกล้ชิดไปบางส่วน และหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในกลุ่มนั้นกลับกลายประติมากรรม ‘เริงระบำ’ ขนาดใหญ่ในตำนาน ซึ่งเจ้าของที่นั้นเป็นบุคคลคนเดียวกับเจ้าของโรงแรมที่ปิดไป จนมารู้กันทีหลังว่าท่านได้ย้ายประติมากรรมชิ้นนี้มาประดับไว้บริเวณริมสระว่ายน้ำในพื้นที่บ้านส่วนตัวที่ปิดมิดชิด ยกมาตั้งแบบไม่มีคนนอกรู้อยู่ตรงนี้มานานแล้วเป็นเวลาราวครึ่งศตวรรษ เป็นอันว่าในที่สุดผลงานชิ้นโบว์แดงที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งที่เขียนเคยสร้างไว้ก็ได้ถูกเปลี่ยนมือเป็นครั้งแรกจากเจ้าของเดิมผู้สั่งผลิตจากเขียนเองโดยตรง และกลับออกมาสู่สปอตไลท์อีกครั้ง
ไหนๆ ก็กล่าวถึงผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดที่ เขียน ยิ้มศิริ ปั้นหล่อขึ้นมากับมือกันแล้ว เพื่อให้ครบสมบูรณ์แบบในทางสถิติ เลยจะขอเล่าถึงผลงานชิ้นเล็กที่สุดในชีวิตของเขียนที่ก็มีรูปแทรกอยู่ในสมุดบันทึกกันบ้าง จากยุคแรกเริ่มที่เขียนสร้างประติมากรรมแบบเหมือนจริง แล้วก็ค่อยๆ ลดทอนรายละเอียดโดยการนำเส้นสายที่สวยงามอ่อนช้อยแบบประติมากรรมสมัยสุโขทัยมาประกอบจนประสบความสำเร็จชนะรางวัลระดับชาติ ในช่วงเวลาเดียวกันเขียนได้รับทุนจากกระทรวงศึกษาธิการเพื่อไปเรียนต่อสาขาประติมากรรมที่โรงเรียนศิลปะเชลซี ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมี เฮนรี่ มัวร์ (Henry Moore) ประติมากรชื่อก้องโลกเป็นผู้กำกับการสอน ต่อมาก็ได้รับทุนของรัฐบาลอิตาลีให้ไปเรียนต่อด้านประติมากรรมและประวัติศาสตร์ศิลปะที่สถาบันศิลปะแห่งกรุงโรมอีก
เมื่อกลับมาเมืองไทยเขียนกลับเข้ารับราชการในมหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยความสามารถและความขยันขันแข็ง เขียนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ จนในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ขณะที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกวิชาประติมากรรมในขณะนั้น เขียนต้องขึ้นรับตำแหน่งคณบดีคณะจิตรกรรมและประติมากรรมมหาวิทยาลัยศิลปากรต่อจากอาจารย์ศิลป์ ที่ถึงแก่กรรมอย่างปัจจุบันทันด่วน งานราชการของเขียนจึงรัดตัวมากจนยุคหลังแทบจะไม่เห็นผลงานศิลปะฝีมือเขียนออกมาสู่สายตาสาธารณชนเลย
และแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ด้วยอิทธิพลศิลปะสมัยใหม่ที่เขียนได้ไปสัมผัสมาจากยุโรป เขียนตัดสินใจสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมขึ้นมาอีกเวอร์ชั่นที่แปลกแหวกแนวออกไปจากผลงานรุ่นก่อนหน้า โดยลดทอนเส้นสายรายละเอียดยิ่งขึ้นไปอีกจนแทบจะดูเป็นรูปนามธรรม ผลงานชิ้นนี้ดูคล้ายๆ สรีระอันงดงามของสตรี แต่จากชื่อ ‘งอกงาม’ หรือ ‘Growth’ ที่เขียนตั้งให้ก็ไม่ได้สื่อไปทางหนึ่งทางใด ยกประโยชน์ให้ผู้ชมใช้จินตนาการพิจารณากันไปเอง ‘งอกงาม’ เริ่มแรกถูกปั้นออกมามีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ก่อนจะปรับท่วงท่าและขยายแบบเป็น ‘งอกงาม’ ขนาดประมาณฟุตกว่าๆ ที่เปิดตัวให้ประชาชนทั่วไปได้พบเห็น ผลงาน ‘งอกงาม’ นี้ยังเป็นประติมากรรมชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขียน ยิ้มศิริ อีกด้วย
ว่ากันว่า ม.ร.ว. นารี ยิ้มศิริ ภรรยาของเขียนถูกใจ ‘งอกงาม’ เวอร์ชั่นดั้งเดิมที่มีขนาดเล็ก เขียนจึงถอดพิมพ์และหล่อผลงานชิ้นจิ๋วขึ้นมาด้วยทองสำริดจำนวน ๑ เอดิชั่นเท่านั้นเพื่อมอบให้ ม.ร.ว. นารี เพื่อสื่อถึงความรักอัน ‘งอกงาม’ ไม่สิ้นสุดของเขียนที่มีให้กับเธอ ผลงานชิ้นนี้จึงกลายเป็นสมบัติอันเป็นที่รักและหวงแหนที่สุดของ ม.ร.ว. นารี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม้ในยามที่เขียน ยิ้มศิริ จะถึงแก่กรรมจากไปในอีก ๖ ปีหลังจากนั้นในวัยเพียง ๔๙ ม.ร.ว. นารี ก็ยังตั้งวาง ‘งอกงาม’ ที่เธอได้รับเป็นของขวัญไว้บนโต๊ะข้างหัวนอนให้เห็นให้ได้ลูบคลำสำผัสใกล้ๆ ไม่ว่ายามจะนอนหรือตื่นมาโดยตลอดไม่เคยถูกย้ายไปไหนเป็นเวลาต่อมาอีกหลายสิบปีจวบจนวาระสุดท้ายของ ม.ร.ว. นารีเอง ‘งอกงาม’ ชิ้นน้อยชิ้นนี้จึงห่างไกลจากการเป็นประติมากรรมธรรมดาที่มีไว้ประดับ เพราะมันได้กลายเป็นตัวแทนความรัก ความคิดถึง ความผูกพัน อันบริสุทธิ์ที่งอกงามชั่วนิรันดร์ของคู่รักที่โชคชะตาไม่ปราณีมาพรากให้จากกันก่อนเวลาอันควรไปมาก
เอาล่ะขอปิดสมุดบันทึกเล่มเขียวแต่เพียงเท่านี้ นี่แหละเรื่องราวอันซับซ้อน และลึกซึ้งดั่งนิยายของผลงานที่มีขนาดใหญ่ และเล็กที่สุดของ เขียน ยื้มศิริ ศิลปินชั้นเยี่ยมผู้ใช้ชีวิตอันแสนสั้นให้เป็นที่จดจำตลอดไป