รอบๆ ภาพหลักจะเป็นภาพกองทัพมิถิลาออกรบกับทัพทหารจาก ๑๐๐ เมือง โดยมีมโหสถเป็นผู้กำกับกลยุทธ์ต่างๆ ทหาร ๑๐๐ เมือง นั้นแต่งกายเป็นชาวต่างชาติ ฝรั่ง แขกดำ แขกขาว ครูคงแป๊ะสร้างสรรค์ได้อารมณ์สนุกสนาน แต่พอถึงตัวเอกปิดทองก็เขียนได้อ่อนช้อยตามขนบไม่ยิ่งหย่อนกัน
นอกจากจะเลื่องลือว่าจิตรกรรมสวยงามแล้ว วัดทองยังขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสดาด้วย พอใกล้หน้าเกณฑ์ทหารจะมีคนมาขอให้รอดพ้นจากการถูกเกณฑ์ แล้วก็มีผู้สมหวังมาแก้บนด้วยการ“วิ่งม้า” เป็นจำนวนมาก เขาว่าเมื่อก่อนก็เอาม้าจริงมาวิ่ง แต่ปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็นขี่ผ้าขาวม้าแทน เอาผ้าขาวม้าพันๆ สอดหว่างขา เอามือจับชายหน้าหลัง แล้วก็วิ่งไปร้องฮี้ๆ ไปเป็นอันเสร็จพิธี ข่าวว่าหลังๆมีเด็กชาวบ้านแถวนั้นรับจ้างวิ่งม้าแทนด้วย
เรื่องสุดท้ายที่ลือลั่นก็คือเรื่องผี แน่นอนเคยเป็นลานประหารคน
มากขนาดนั้นก็น่าเชื่อว่ามีแน่ๆ ผีตายโหงทั้งนั้นเสียด้วย จึงน่าจะเฮี้ยนนัก เล่ากันว่าตอนขุดดินจะสร้างตึกโรงเรียน เจอโครงกระดูกมีกำไลนาก ภารโรงและเมียเอากำไลไปขายกิน ผีมาทวงคืนในฝัน ไม่รู้จะหามาคืนได้อย่างไร ไม่ช้าไม่นานก็ตายทั้งสองคน เขาจึงตั้งศาลเป็นรูปวาดนายทัพไทย ๓ นาย เรียกกันว่า “ศาลเสด็จพ่อสามพระยา” ผู้คุมเชลยครั้งนั้น ให้มาคุมวิญญาณผีพม่าไม่ให้อาละวาด แหล่งข่าวว่าปัจจุบันยังมีอยู่บริเวณลานวัดด้านต่อกับโรงเรียนวัดสุวรรณาราม
แม้กระนั้นยังมีผู้เห็นผีอยู่เนืองๆ ผีหัวขาดบ้าง หญิงนั่งห้อยขา
ริมน้ำบ้าง เปรตบนหอระฆังบ้าง แต่อย่ากลัวเลย มาดูภาพเขียนฝีมือชั้นครูกันเถิด มาตอนกลางวัน จะไปกลัวอะไรกับผีสาง
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ท่องไว้ ไม่ต้องกลัว
เรื่อง: ผศ.ประเทือง ครองอภิรดี
ภาพ: วัชรชัย ไตรอรุณ