นิตยสารอนุรักษ์ ฉบับ พฤศจิกายน 2566
(ต่อจากฉบับที่แล้ว) ครั้นรุ่งเช้ามีชาวบ้านมาบอกกับคณะพระธุดงค์ว่า มีพระนอนป่วยอยู่ในถ้ำบนเขา ให้รีบไปช่วย หลวงปู่โต๊ะบอกว่า โน่นไปหาองค์โน้น องค์ที่ตัวเล็ก ๆ อยู่ริมสุดนั่นแหละ พอชาวบ้านไปนิมนต์หลวงปู่รุ่งท่านรีบเดินทางตามชาวบ้านไปที่ถ้ำ เห็นพระองค์หนึ่งนอนซมอยู่ ใบหน้าบวมเป่ง หลวงปู่รุ่งไม่รอช้า ด่าพระองค์นั้นเข้าให้ก่อนเลยโดยที่ยังไม่ทันถามอะไร (เป็นที่รู้กันของคนแถบท่ากระบือว่าหลวงปู่ปากจัดมาก) แล้วหลวงปู่ก็ว่า
“วิชาที่ดีมีไม่เรียน ไปร่ำเรียนเดรัจฉานวิชา สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น พระเจ้าก็ไม่ละเว้น ต่อไปนี้มึงทำไม่ขึ้นอีกแล้วไอ้วิชาเสือสมิงของมึงน่ะ เป็นยังไงละจะได้สำนึกซะบ้าง ครั้งนี้กูจะไม่เอาโทษมึงแต่จะถอนวิชามึงให้สิ้น คนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อน ทำพระศาสนามัวหมองมึงมันเลวนัก เมื่อทำของไม่ขึ้นก็จงก้มหน้ารับกรรมที่ตัวเองก่อไปเถิด”
จากนั้นหลวงปู่เดินเข้าไปเอาเท้าสัมผัสหน้าพระองค์นั้นสามครั้ง หน้าที่บวมก็ยุบหายเป็นปกติ พระองค์นั้นก้มลงกราบเท้าหลวงปู่ อาจารย์รอดท่านว่า เรื่องนี้เวลาเจอกับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่เป็นต้องยกขึ้นมาสนทนาทุกครั้งไป ท่านว่า หลวงพ่อรุ่งนี่ท่านนักเลงจริง ๆ ตัวไม่ใหญ่แต่ไม่เคยกลัวใคร
ผู้เขียนเคยได้ยินจากปากคุณตาซึ่งเป็นคหบดีของท่ากระบือท่านหนึ่ง(ขออนุญาตเอ่ยนาม คุณตาจั่น มณีรัตน์) ซึ่งท่านเกิดทันหลวงปู่รุ่ง ท่านเสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยวัยร้อยปี ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ที่สำคัญท่านเป็นศิษย์ที่มีความใกล้ชิดกับหลวงปู่เป็นพิเศษ ท่านเป็นคฤหบดีที่ชาวท่ากระบือต่างรู้จักกันดี จนมีการไปมาหาสู่กันเป็นประจำ โดยปกติหลวงพ่อรุ่งท่านจะดุมาก ถ้าจะเข้าไปหาจะต้องดูอารมณ์ท่านก่อน เขาว่าถ้าท่านเคี้ยวหมากดังแจ๊บ ๆ เดินไปเดินมาแสดงว่าท่านอารมณ์ดี แต่ถ้าท่านนิ่ง ไม่พูดไม่จาอย่าเข้าไปเชียว ไม่เช่นนั้นอาจโดนด่ากลับไม่ทันเชียว คุณตาท่านนี้เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ถ้าหลวงปู่ท่านคลื้มอกคลื้มใจขึ้นมาท่านมักจะเรียกคุณตาไปหาแล้วท่านมักจะทำอะไรแปลก ๆ ให้ดู มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามคุณตาว่า
“ไอ้ทิศเอ็งหุงข้าวเหนียวกับข้าปลูกมะม่วง ใครจะเสร็จก่อนกันวะ” คุณตาท่านได้ตอบหลวงปู่ว่า “ผมต้องเสร็จก่อนแน่นอน” หลวงปู่ว่า “ถ้ามะม่วงข้าออกลูกก่อนข้าวเหนียวเอ็งสุกเอ็งต้องช่วยข้าสร้างวิหารนะ มะม่วงข้าปลุกเสร็จออกลูกเลยมันต้องแพงหน่อยสิว่ะ”
คุณตาลงทุนจุดไฟ เตรียมหุงข้าวเหนียว ในขณะที่หลวงปู่ยังมิได้เตรีมการอะไรเลย รอจนข้าวเหนียวใกล้สุก หลวงปู่จึงนำเม็ดมะม่วงเม็ดหนึ่งมาฝังลงไปในดินพร้อมกับ ทำปากขมุบขมิบ ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น มะม่วงของหลวงปู่สูงท่วมหัวเพียงอึดใจเดียว และก็ออกลูกทันที คุณตาตกใจ และถามหลวงปู่ว่าทำได้ยังไง หลวงปู่จึงบอกว่า ยังมีอะไรให้เอ็งดูอีก ท่านให้คุณตาไปเอาใบจากที่หน้าวัดมา ลืมบอกท่านผู้อ่านไปว่าวัดท่ากระบือนั้นติดแม่น้ำท่าจีน จึงมีต้นจากขึ้นอยู่ตามริมน้ำ เมื่อนำใบจากมา หลวงปู่ท่านก็ให้ตัดใบจากเป็นรูปปลา หลวงปู่เสกคาถาครู่หนึ่งแล้วเอาใบจากโยนลงน้ำ เมื่อกระทบกับน้ำใบจากกลับกลายเป็นปลากัดสองตัวว่ายฉวัดเฉวียน แล้วก็กัดกันใหญ่เลย หลวงปู่ท่านว่า มันเป็นมายาศาสตร์ ผู้เขียนจึงถามว่า แล้วมะม่วงนั้นสามารถกินได้หรือเปล่า คุณตาแกว่า “กินไม่ได้หรอกหลาน ดูได้อย่างเดียว” และคุณตาท่านว่า “ข้าทำบุญไป ๕๐๐” ซึ่งสมัยนั้นนับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลทีเดียว ทองบาทหนึ่งราคาไม่ถึง ๒๐ บาท ที่ติดแม่น้ำราคาไร่ละ20-30บาท คิดดูเอาว่าเป็นเงินมหาศาลเพียงใด คำบอกเล่าดังกล่าวเป็นของคนที่อาศัยอยู่ในแถบวัดจึงเป็นที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์กับตัวเองสมัยเป็นเด็ก คือคุณแม่ใช้ให้ทำความสะอาดหิ้งพระ เห็นพานที่ใส่พระเครื่อง และเครื่องรางมีฝุ่นเกาะอยู่ ทีแรกตั้งใจว่าจะค่อย ๆ เช็ด แต่จะรีบออกไปเล่นข้างนอก ก็เลยเทพานเครื่องรางดังกล่าวในขันใส่น้ำจะได้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อที่จะรีบไปวิ่งเล่นข้างนอกตามประสาเด็ก ปรากฎเรื่องอัศจรรย์ คือทั้งเครื่องรางและพระเครื่องจมน้ำหมด ยกเว้นแต่เพียงตะกรุดสาลิกาของหลวงปู่ ลอยอยู่บนน้ำ และยังวิ่งเข้าหากันและติดกันเป็นคู่อยู่เหนือน้ำ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกศรัทธาในหลวงปู่รุ่งขึ้นมา และพยายามสอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่แถวบ้าน คุณยายท่านหนึ่งบ้านอยู่แถววัดสวนส้มอายุ ๙๐ กว่า(ในขณะที่ท่านเล่าเลื่องนี้ หากนับถึงปัจจุบันท่านจะมีอายุถึงร้อยยี่สิบปีแต่ไม่รู้ว่าท่านเสียไปนานเท่าไรแล้ว)ท่านได้กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
ท่านเคยไปหาหลวงปู่รุ่งสมัยนั้นเดินทางไปทางเรือ เพราะวัดท่ากระบืออยู่ติดแม่น้ำท่าจีน ท่านไปกับพี่ ๆ น้อง ได้เตรียมแผ่นเงินแผ่นทองไปให้หลวงปู่ช่วยลง ส่วนมากคนมีเงินสมัยก่อนเขานิยมเอาแผ่นเงินแผ่นทองไปให้หลวงปู่ลงเลขยันต์ เพราะเป็นวัสดุที่มีค่าและทนกว่าพวกตะกั่ว ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นรวมกันไปทั้งหมด แผ่นทองคำและแผ่นเงินใส่ถาดเล็ก ๆ ได้ถาดหนึ่ง เฉพาะแผ่นทองหนักแผ่นละประมาณสองสลึงมีจำนวนเป็นสิบแผ่น พอมาถึงท่าน้ำวัดท่ากระบือเห็นหลวงปู่เดินอยู่บริเวณด้านหน้าวัดพอดี จึงรีบขึ้นไปหาถวายดอกไม้ธูปเทียนของขบฉันตามธรรมเนียมแล้ว จึงแจ้งความประสงค์ขอให้หลวงปู่ช่วยลงตะกรุดไว้คุ้มตัว แล้วจึงยกถาดแผ่นโลหะถวายให้หลวงปู่นำไปจารเป็นตะกรุด เท่านั้นแหละเขาคุณยายว่าหลวงปู่ด่าสาดเสียเทเสีย จนทุกคนหน้าเสียไปตาม ๆ กัน
แต่ก็คิดว่าเป็นปกติของหลวงปู่อยู่แล้ว แต่เท่านั้นไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่ทุกคนตะลึงไปยิ่งกว่านั้นก็คือ หลวงปู่สาดแผ่นเงินแผ่นทองทั้งหมดลงแม่น้ำหน้าวัดไปหมดเลย ทุกคนที่ไปก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่จะทำอย่างไรได้ขืนพูดมากอาจจะโดนยิ่งกว่านี้ นอกจากนี้ไม่อยากให้หลวงปู่ออกปากแช่งเพราะท่านมีวาจาสิทธิ์พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเตรียมลากลับบ้าน หลวงปู่ก็ไม่ว่าอย่างใด ท่านว่า “เดี๋ยวกูจะสรงน้ำเสียหน่อยมันร้อน” ว่าแล้วท่านก็ลงไปที่สะพานที่หน้าวัด ตอนนั้นทุกคนก็ขึ้นเรือหมดแล้วเตรียมกลับไป ชนิดที่ว่าจะไม่มาเหยียบวัดท่ากระบืออีกเลยทีเดียว คุณยายเล่าต่อไปว่า พอหลวงปู่ลงไปในน้ำเท่านั้นแหละ บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น คือมันเหมือนมีฝูงปลากำลังว่ายขึ้นมา แต่เมื่อขึ้นมาในระยะที่มองเห็นได้ มันไม่ใช่ปลา แต่มันเป็นตะกรุด ที่ม้วนเรียบร้อยแล้ว แล้วหลวงปู่ก็กล่าวว่า “เก็บไว้ดี ๆ นะพวกมึง” เท่านั้นแหละต่างคนต่างหยิบตะกรุดขึ้นจากน้ำ ทุกคนล้วนหวงแหนเพราะได้ประสบแก่ตัวเอง ผู้เขียนได้ทีโอกาสเห็น ตะกรุดทองคำชุดดังกล่าวของคุณยายท่านนี้ แขวนอยู่ในสร้อยเพียงดอกเดียว ทั้งที่ท่านมีเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่อยู่ ท่านยังใช้ตะกรุดที่ว่าเลยครับ (ติดตามต่อฉบับหน้า)