
โดยในยุคนั้นภาพทศคีรีธรถูกตั้งราคาไว้ราวๆ 3000 บาท ซึ่งนับว่าสูงเอาการสำหรับผลงานศิลปินวัยรุ่นหน้าใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิด ในขณะที่ราคาทองในปี พ.ศ. 2516 ยังแค่บาทละ 900 เอง
– ตัวแน่น
ยักษ์ในแบบไทย ๆ แต่ไหนแต่ไรมามักมีแพทเทิร์นหน้าตา ท่าทางคล้าย ๆ กัน ทั้งยักษ์วัดพระแก้ว ยักษ์วัดโพธิ์ ยักษ์วัดแจ้ง ภาพยักษ์ตามผนังวัด หรือแม้แต่ยักษ์ที่สร้างกันใหม่ยุคหลังๆก็มักลอกแบบมาจากยักษ์โบราณตามวัดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อยักษ์ทุกตนดูเหมือน ๆ กันหมด เพื่อจะแยกให้ออกว่ายักษ์ตนไหนเป็นตนไหน มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร คนสมัยก่อนเลยใช้วิธีกำหนดสีผิวยักษ์ให้แตกต่างกัน เช่น ทศกัณฐ์ต้องตัวสีเขียว สหัสเดชะตัวขาว ไมยราพมีผิวสีม่วงอ่อน รวมทั้งปรับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสี และลวดลายประดับเครื่องแต่งกายให้ต่างกันนิด ๆ หน่อย ๆ
หากมองในมุมนักมาร์เก็ตติ้ง กุศโลบายในการสร้างยักษ์ให้หน้าตาเหมือน ๆ กันนั้นนับว่าเฉียบแหลม เพราะมีทั้งความคงเส้นคงวาในการนำเสนอรูปแบบเดิม ๆ ต่อ ๆ กันเรื่อย ๆ มาเป็นเวลายาวนานไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย หรือที่ฝรั่งเรียกว่า ‘Consistency’ รวมถึงยังมีการนำเสนอยักษ์ที่มีหน้าตาแทบจะซ้ำ ๆ กันทีละเยอะ ๆ อย่างที่ปั้นไว้เป็นคู่อยู่ทุกซุ้มประตูวัด หรือวาดไว้บนผนังโบสถ์มากันทีเป็นกองทัพ เป็นหลักการทางการตลาดที่เรียกว่า ‘Repetition’ เพื่อให้เกิดการจดจำฝังใจ พอเป็นอย่างนี้หากเราชาวไทยจะนึกถึงยักษ์ ภาพยักษ์ที่มีหน้าตาตามแบบมาตรฐานก็จะกระเด้งดึ๋งขึ้นมาในมโนคติอย่างอัตโนมัติโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งศิลปินทั้งจิตรกรประติมากรน้อยใหญ่ พอจะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะรูปยักษ์ ก็เลยล้วนแล้วแต่สร้างออกมาให้มีหน้าตาตามอย่างที่บรรพบุรุษของเราจินตนาการเอาไว้เมื่อนมนานมาแล้วเหมือนกันดิก

เมื่อปีพ.ศ. 2514 ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินหนุ่มชาวเชียงรายผู้เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอกมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ กำลังค้นคว้าหาทางปลดปล่อยตนเองจากความเป็นทาสของอารยธรรมตะวันตก จึงหันไปมุ่งศึกษาปรัชญาตะวันออกทั้งจากเรื่องราวทางศาสนา และมหากาพย์โบราณ ในขณะเดียวกันก็ต้องการจะหลุดพ้นจากกรอบที่พันธนาการรูปแบบทางศิลปะในสไตล์เดิม ๆ ในปีนั้นถวัลย์ตัดสินใจจัดแสดงผลงานชุดใหญ่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา ณ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน ตรงสะพานหัวช้าง ผลปรากฏว่าภาพแนวพุทธที่มีรูปลักษณ์แหวกแนวต่างจากแบบเก่าก่อน เพราะมีทั้งภาพเศียรพระพุทธรูป พระสงฆ์ อสูรกายน่าเกลียดน่ากลัว หญิงชายที่มีร่างกายเปลือยเปล่า ถูกตีความไปอย่างผิด ๆ ว่าถวัลย์กำลังลบหลู่ศาสนา เลยถูกก่นด่าหาว่าถวัลย์เป็นศิลปินบ้าในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ มิหนำซ้ำยังมีนักเรียนช่างกลบุกมากรีดทำลายผลงานที่แขวนแสดงอยู่จนเกิดความเสียหายเละเทะอินุงตุงนังไปหมด เพราะผลงานของถวัลย์ไม่ใช่แนวสวย ๆ งาม ๆ อย่างภาพวิวทิวทัศน์ หรือดอกไม้ แถมเนื้อหายังต้องใช้ความเข้าใจในหลักปรัชญา และประสบการณ์ทางศิลปะระดับหนึ่งถึงจะเก็ท ลูกค้าที่สนใจอุดหนุนผลงานของถวัลย์ไปเก็บไว้ในสมัยแรกๆจึงเป็นฝรั่งแทบทั้งหมด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นฐานความเข้าใจในศิลปะสมัยใหม่ของพวกเขานั้นถูกปลูกฝังกันมาเนิ่นนานก่อนบ้านเรา

เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าสาธารณชนไทยยังไม่ค่อยจะอินกับผลงานของตนเองเท่าไหร่ ถวัลย์เลยตัดสินใจแสดงผลงานอีกครั้งในสถานที่ที่จะมีชาวต่างชาติแวะเวียนมาดูเยอะๆ นิทรรศการครั้งต่อมาจึงถูกจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน จนถึง 18 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ณ บริติช เคานซิล แถวถนนสาธร ซึ่งก็คือองค์กรนานาชาติเพื่อส่งเสริมการศึกษา ศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งสหราชอาณาจักร การแสดงครั้งนี้ถวัลย์ใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ทั้งออกแบบเลย์เอาท์ แขวนภาพ จนถึงกับลงแรงผลิตทุกอย่างเองแบบแฮนด์เมด แม้แต่โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานถวัลย์ยังอุตส่าห์แกะแม่พิมพ์ไม้เป็นรูปพญาลิงกำลังอ้าปากโชว์เขี้ยวคำราม และนำไปพิมพ์ด้วยหมึกสีแดงลงบนกระดาษทีละแผ่นด้วยมือ ในขณะที่ป้ายอธิบายผลงานถวัลย์ก็บรรจงเขียนเองด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์
ผลงานศิลปะที่ถวัลย์คัดสรรมาแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ แต่แทนที่จะวาดตัวละครทั้งฝ่ายลิง และยักษ์ให้ออกมาเหมือนกับที่เราเห็นตามวัด ถวัลย์ฉีกกฎเกณฑ์ดั้งเดิมโดยการตีความ และสื่ออกมาในรูปแบบใหม่ที่ใช้สัญลักษณ์รูปคน กับ สัตว์ แทนลักษณะภายนอก รวมถึงเผยอารมณ์ภายในของตัวละครนั้น ๆ

ถวัลย์วาดยักษ์ชั้นกษัตริย์ที่เป็นคู่ต่อสู้กับพระราม และพระลักษมณ์ขึ้นมาหลายภาพ และหนึ่งในตัวละครสำคัญ คือ ทศคีรีธร ยักษ์ที่เป็นลูกของทศกัณฐ์กับนางช้างพังในป่าหิมพานต์ ทศคีรีธรมีพี่ชายร่วมบิดามารดาชื่อว่า ทศคีรีวัน ยักษ์ทั้งสองพี่น้องถูกทศกัณฐ์ยกให้ ท้าวอัศกรรณมารา เจ้าเมืองดุรัม รับเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม วันหนึ่ง ทศคีรีธร และทศคีรีวัน เกิดคิดถึงบิดาแท้ ๆ จึงเดินทางไปเยี่ยมที่กรุงลงกา และได้รับข่าวว่าทศกัณฐ์กำลังทำสงครามอยู่กับพระราม และพระลักษมณ์ ยักษ์ทั้งคู่จึงอาสาไปร่วมรบ โดยมียุทโธปกรณ์เป็นศรวิเศษเรียกว่า ศรสิทธิ์ ที่แผลงออกไปแล้วจะกระจายเป็นอาวุธ 9 ประการ ส่งผลให้พลลิงฝ่ายตรงข้ามล้มตายไปมากมาย แต่สุดท้ายทศคีรีธร และทศคีรีวัน ก็พ่ายแพ้แก่คมศรพรหมาสตร์ของพระลักษมณ์ท่ามกลางสนามรบ
หากลอกเลียนตามรูปลักษณ์เดิมที่ศิลปินในอดีตสร้างสรรค์ต่อ ๆ กันมา ทศคีรีธร จะต้องมีกายสีหงดิน หรือสีหม้อใหม้ ออกไปทางแดง ๆ หน้า และตัวเป็นยักษ์ ตาโพลง ปลายจมูกเป็นงวงช้าง ทรงชฎากาบไผ่ หรือมงกุฎจีบ ถ้านึกไม่ออกว่าเมื่อลักษณะที่ว่าเวลาเอามายำรวม ๆ กันแล้ว หน้าตาทศคีรีธรแบบมาตรฐานจะออกมาเป็นอย่างไร แนะให้ไปดูได้ที่ระเบียงวัดพระแก้ว จะเห็นรูปปั้นยักษ์ที่คัดมาเฉพาะตัวตึงในเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ขนาดสูงประมาณ 6 เมตร จำนวน 12 ตน ยืนเป็นคู่ ๆ เฝ้าประตูอยู่ และยักษ์คู่ที่อยู่ตรงประตูทิศใต้ คือ ทศคีรีวัน และทศคีรีธร หรือถ้าใครไม่ใช่สายวัด ที่สนามบินสุวรรณภูมิตรงเคาเตอร์เช็คอินก็มียักษ์ทั้ง 12 ตนนี้ถอดแบบมาให้ยืนจังก้ารับผู้โดยสารอยู่ โดยมีขนาด หน้าตา ท่าทาง ลวดลาย สีสัน เหมือนกับยักษ์ในวัดพระแก้วเป๊ะ

คราวนี้พอถวัลย์จะสร้างสรรค์ ทศคีรีธร ขึ้นมาบ้างแทนที่จะยึดติดกับแบบเก่า ๆ ถวัลย์กลับถ่ายทอดเรื่องราว และความรู้สึกที่มีต่อตัวละครออกมาในสไตล์ของตนเอง ทศคีรีธร ในเวอร์ชั่นใหม่จึงออกมาเป็นภาพมนุษย์หัวเป็นช้าง ร่างเป็นคนกำยำล่ำบึ๊ก เห็นมัดกล้ามเป็นปล้อง ๆ ชัดเจน บุรุษผู้นี้นั่งอยู่ในท่าประหลาดยากที่ใครจะลอกเลียนได้ ขาข้างซ้ายงอชิดเข้าหาตัวในท่าขัดสมาธิ ขาข้างขวายกพาดไหล่ขวามาจากด้านหลัง แขนขวาที่รับน้ำหนักขาพับเกร็งไว้สุดแรงจนเส้นเลือดปูดโปนนิ้วมือทุกนิ้วหงิกงอ ในขณะที่แขนข้างซ้ายผายออกไปด้านหลังเพื่อค้ำยันร่างกายไว้ไม่ให้หงายหลังไป
ภายในหัว ตัว แขน ขา และอวัยวะทั้งหมดของทศคีรีธร ถวัลย์แต่งเติมภาพด้วยใบหน้า และดวงตาอันเบิกโพลงของสิงห์สาราสัตว์มากมายเช่น ช้าง สิงโต เสือ หมูป่า ลิง นางอาย อีเห็น เหยี่ยว นกกระสา นกฮูก นกเค้าแมว กิ้งก่า จนทั่วไปหมดราวกับรอยสักบนร่างกาย
ผลงานศิลปะของถวัลย์ ดัชนี นั้นมีหลากหลายเทคนิค ที่สาธารณชนคุ้นตามักจะเป็นผลงานสีน้ำมันชิ้นใหญ่ๆที่วาดด้วยพู่กันเบอร์โต ๆ มีทั้งแบบที่ปาดป้ายฉุบฉับรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพ และแบบที่ค่อย ๆ กลึงสีให้มีน้ำหนัก แสงเงา แต่หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าถวัลย์นั้นมีความสามารถเยี่ยมยอดเข้าขั้นไร้เทียมทานในการสร้างสรรค์ผลงานที่ละเอียดลออด้วยวัสดุง่าย ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างภาพทศคีรีธรนี้ ถวัลย์วาดด้วยปากกาลูกลื่นแสนจะธรรมดา ซึ่งต้องใช้ความพยายามมากกว่า และใช้เวลาสร้างสรรค์นานกว่าผลงานในรูปแบบอื่น ๆ เวลาถวัลย์จะวาดรูปที่มีรายละเอียดยุบยิบแบบนี้ เพื่อให้ทำงานครั้งละนาน ๆ ได้โดยไม่อ่อนล้า ถวัลย์จะเอาหมอน และกระดาษเปล่ามาวางไว้กับพื้น แล้วนอนคว่ำใช้อกหนุนหมอนในขณะที่มือขวาก็ฝนปากกาลงบนกระดาษ ค่อย ๆ เล็ง ค่อย ๆ เพ่งอย่างแม่นยำ สลับกับเช็ดหมึกที่เยิ้มอยู่บนปลายปากกาอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเส้นแต่ละเส้นจะบางเบาพลิ้วไหว ไม่มีเส้นไหนที่หนาเกินไป และไม่มีหมึกหยดเลอะเทอะ การวาดภาพด้วยวิธีนี้ต้องมีสมาธิสูง หากพลาดพลั้งเพียงนิดภาพจะเสียทันที ต่างกับการระบายสีที่สามารถแก้ไขโดยการทาทับได้

ผลงานเทคนิคปากกาลูกลื่นของถวัลย์นั้นมีรายละเอียดมากจนต้องส่องด้วยแว่นขยาย ใครได้เห็นต่างแทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือภาพที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ ในปีพ.ศ. 2516 เมื่อภาพทศคีรีธรถูกนำไปแสดงที่ บริติช เคานซิล จึงเป็นที่กล่าวขวัญ และถูกอกถูกใจผู้ชมเป็นจำนวนมาก และผู้โชคดีที่ได้ผลงานชิ้นนี้ไปครอบครองเป็นชาวอเมริกัน ผู้ดำรงตำแหน่งอาสาสมัครในบริติช เคานซิล ณ ขณะนั้น สาเหตุที่ชาวอเมริกันท่านนี้ได้สิทธิ์พิเศษ ไม่เพียงเพราะทำงานที่นั่นจึงได้เห็นผลงานตั้งแต่ติดตั้ง แต่ท่านผู้นี้ยังสนิทสนมกับถวัลย์เป็นอย่างดี เพราะตั้งแต่ถวัลย์เรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ ถวัลย์เคยซื้อรถมาขับเองแต่ดันประสบอุบัติเหตุตกคูน้ำ หลังจากนั้นถวัลย์จึงเข็ดขยาดไม่กล้าขับรถไปไหนมาไหนเองอีก ฝรั่งท่านนี้เลยรับอาสาเป็นผู้ขับรถพาถวัลย์ไปที่นู่นที่นี่อยู่เสมอ แถมเวลาถวัลย์จะพิมพ์สูจิบัตรต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนท่านนี้ยังเป็นผู้ช่วยแปล และตรวจคำศัพท์ให้อีก ใกล้ชิดกันขนาดนี้จึงไม่แปลกที่จะได้คัดสรรผลงานจากการแสดงก่อนใคร
แล้วทำไมเพื่อนฝรั่งของถวัลย์ถึงจำเพาะเจาะจงเลือกเฉพาะภาพทศคีรีธรไปเก็บสะสมไว้ นอกจากความสะดุดตาลงตัว และฝีมือในการสร้างสรรค์เข้าขั้นเทพแล้ว เนื้อหาของภาพยังชี้ชวนให้ขบคิดถึงความหมายอันลึกซึ้งซึ่งแฝงไว้อย่างมีชั้นเชิง

เหตุที่ถวัลย์วาดภาพทศคีรีธรในร่างมนุษย์ตัวกำยำแข็งแรงเกินธรรมชาติ นั่งเกร็งอยู่ในท่ายากที่บิดเบี้ยวไม่ผ่อนคลาย แถมใหญ่คับเฟรมดูอึดอัด เพราะต้องการจะแสดงถึงศักยภาพของตัวละครว่ามีสติปัญญาสูงส่งกว่าเดรัจฉาน มีกำลังวังชามหาศาล แต่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ในสังคมอันเจริญแล้วแห่งใด ๆ ไม่เว้นแม้แต่ของมนุษย์ หรือของยักษ์นั้นย่อมมีระเบียบกฎเกณฑ์จำกัดการกระทำไว้ให้อยู่ในขอบเขตอันไร้ซึ่งอิสระ ดังกรอบที่ครอบภาพนี้อยู่ ส่วนดวงตา และใบหน้าของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายทั่วร่างกายนั้นถวัลย์ต้องการจะสื่อถึงตัณหาเยี่ยงสัตว์ภายในจิตใจ ที่พยายามนำพาไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร แต่เจ้าของร่างก็ต้องบังคับระงับไว้แม้จะฝืนใจทรมาน แสดงออกด้วยท่าทางอันบิดเกร็ง ถ้าหากสังเกตดี ๆ ในภาพนี้มีหน้าคนซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่สิงห์สาราสัตว์ด้วย เหมือนดั่งว่าในพงไพรแห่งกิเลสก็มีความนึกคิดดุจผู้ประเสริฐปะปน ดั่งสัจธรรมของปุถุชนที่ไม่มีใครดี ใครชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ ทศคีรีธรเองก็เช่นกัน ถึงจะเป็นตัวละครฝ่ายอธรรม แต่ที่ต้องเป็นเช่นนั้นก็เพราะชาติกำเนิด มิหนำซ้ำตนเองก็ไม่ได้มีเหตุขุ่นข้องหมองใจบาดหมางอะไรกับพระราม และพระลักษมณ์มาก่อน ที่อาสาไปออกรบจนตัวตายก็ด้วยความรัก และความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อทศกัณฐ์ซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ด้วยเหตุนี้คนโบราณจึงไม่ได้โกรธ เกลียด หรือแอนตี้ยักษ์ ทั้ง ๆ ที่ในเรื่องรามเกียรติ์ยักษ์เป็นผู้ร้าย แต่ในทางตรงกันข้ามคนไทยตั้งแต่สมัยอยุธยากลับมีคติความเชื่อว่ายักษ์สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้ย่างกรายเข้ามา บรรพบุรุษของเราจึงนิยมสร้างรูปปั้นยักษ์ไว้ตามประตูทางเข้าวัด
กลับมาที่เพื่อนชาวอเมริกันของถวัลย์ เพราะสนิทสนมซี้ปึ๊ก แถมยังเข้าอกเข้าใจความหมายอย่างแตกฉาน จนมีอารมณ์ร่วมไปกับผลงาน ถวัลย์เลยจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษให้สหายท่านนี้สามารถผ่อนจ่ายค่าภาพเป็นงวด ๆ ได้ยาวนานเป็นปี โดยในยุคนั้นภาพทศคีรีธรถูกตั้งราคาไว้ราว ๆ 3000 บาท ซึ่งนับว่าสูงเอาการสำหรับผลงานศิลปินวัยรุ่นหน้าใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิด ในขณะที่ราคาทองในปี พ.ศ. 2516 ยังแค่บาทละ 900 เอง แต่งานศิลปะชั้นยอดนั้นคนซื้อจะรู้สึกว่าแพงแค่วันเดียวคือวันที่จ่ายตังค์นั่นแหละ เพราะวันนี้เงินไม่กี่พันที่จ่ายไป ได้ทวีคูณเป็นพัน ๆ เท่าไปแล้ว
ดีใจด้วยนะที่วันนั้นเชื่อถวัลย์ ไม่ได้เอาเงินไปซื้อทอง
เรื่อง และ ภาพ : ตัวแน่น