การแสดงเดี่ยวครั้งนี้ถวัลย์สร้างปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่สมชื่อเสียงเรียงนามที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นที่ถูกจับตามองอีกครั้ง โดยไม่ทำให้ใครผิดหวัง เริ่มจากก่อนหน้าวันเปิดงานหลายเดือนถวัลย์มาวัดขนาดผนังของห้องจัดแสดง แล้วกลับบ้านที่เชียงรายเพื่อไปขึงผ้าใบให้มีขนาดใหญ่เต็มกำแพง งานชุดนี้ถวัลย์ตั้งใจจะวาดไก่ตัวใหญ่เท่าม้า แมลงวันตัวใหญ่เท่าวัว เพื่อที่จะสามารถปลดปล่อยพลังอันพลุ่งพล่านไปถึงผู้ชมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อวาดเสร็จผลงานที่มีขนาดใหญ่สมใจ ไม่สามารถจะขนด้วยวิธีการปกติได้ ถวัลย์จึงต้องแกะผ้าใบออกจากเฟรมไม้ แล้วม้วนผลงานให้มีขนาดเล็กลง ก่อนจะส่งจากเชียงรายลงมาเพื่อขึงเฟรมใหม่ที่กรุงเทพฯ


ผลงานที่เป็นไฮไลท์ และมีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่สุดในชุดชิ้นหนึ่งถวัลย์ตั้งชื่อไว้ว่า ‘Despair Eclipse of Intellect’ ผลงานชิ้นนี้ถวัลย์ใช้สีดำระบายผืนผ้าใบขนาดท่วมหัวจนทั่วเพื่อรองพื้น หลังจากนั้นจึงใช้เกรียงปาดสีน้ำมันเป็นปื้นหนาๆทับลงไปให้เกิดเป็นรูปทรงและแสง ถวัลย์เลือกใช้กลุ่มสีที่ฉูดฉาด ระยิบระยับ ทั้งกลมกลืนทั้งตัดกัน บรรจงกลั่นออกมาเป็นภาพบรรยากาศอันวังเวงภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังแสงจนมืดดำ มีไก่ยักษ์สองหัว หัวหนึ่งดวงตาเบิกโพลง ชูคอโก่งขันจนสุดเสียง แสดงถึงความตื่นรู้ ในขณะที่อีกหัวกำลังจิกกัดผู้คนที่กำลังนอนปิดหูปิดตาเอาแขนก่ายหน้าผากอย่างหมดอาลัยตายอยาก เหมือนกำลังปลุกให้พวกเขาเหล่านั้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์เพื่อค้นหาแสงส่องทางอันสดใสที่ยังพอมีฉายออกมารอบๆสุริยคราส สมดั่งชื่อภาพที่แปลความหมายได้ว่า ความสิ้นหวังปิดบังปัญญา
ปรูป บางกอก คอลัมนิสต์คนดังจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์ เป็นอีกหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสได้มาร่วมงานในวันนั้น เขาได้เผยแพร่คำกล่าวของผู้ที่ได้สัมผัสพลานุภาพของภาพ ‘Despair Eclipse of Intellect’ ชิ้นจริงตรงหน้าไว้อย่างหลากหลาย อาทิเช่น
‘เป็นคนระห่ำที่น่านับถือ’
‘ดุดันเหลือเกิน’
‘สีของเขาเหมือนมันยังดิบ แต่ภาพของเขามีชีวิต และแข็งแรงจริง’
‘งานของถวัลย์ ก็เหมือนกับตัวจริงของถวัลย์ เขาเดินเข้าไปในภาพที่เขาเขียน หรือภาพที่เขาเขียนมันเดินออกมาหาเขา’

ในเมืองไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์