
อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อเงินเห็นว่าตรง หมู่บ้านวังตะโก ซึ่งอยู่ห่างจากวัดคงคาราม คนละฝั่งไปทางเหนือประมาณ ๕๐๐ เมตร บริเวณนั้นมีแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน คือแม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน มีต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นตะเคียน ต้นตะโก เหมาะที่จะสร้างวัดใหม่ เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้ว หลวงพ่อเงินจึงขอเสี่ยงทายบารมีโดยหักกิ่งโพธิ์กิ่งหนึ่งติดตัวไปด้วย เมื่อไปถึงบริเวณป่าตะโก ที่คิดจะก่อตั้งสถานที่ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ หากตัวเราจะเจริญในพุทธศาสนาแล้วไซร้ ขอให้กิ่งโพธิ์ที่ปักนี้เจริญงอกงาม “ เมื่อคำอธิฐานเสร็จสิ้นท่านก็ได้ปักกิ่งโพธิ์นั้นลงกับพื้นดิน ที่บริเวณหน้าศาลาการเปรียญหลังเก่า ณ วัดวังตะโก หรือวัดบางคลาน ในปัจจุบัน ปกติต้นโพธิ์จะไม่ขึ้นจากกิ่ง วันเวลาผ่านไปกิ่งโพธิ์ที่ปักนั้น ก็เจริญงอกงาม ตั้งลำต้นขึ้นอย่างสง่างาม สร้างความอัศจรรย์แก่หลวงพ่อเงินอย่างยิ่ง ทำให้หลวงพ่อเงินคิดถึงคำที่ท่านอธิฐานเอาไว้ ได้เป็นจริง ท่านจึงคิดว่าจะบวชไปตลอดชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน เดินตามรอยพระศาสดา

เมตตาธรรมของหลวงพ่อเงิน
เมื่อหลวงพ่อท่านย้ายไปสร้างวัดใหม่ ที่บ้านวังตะโก นั้นก็สร้างในลักษณะสำนักสงฆ์เล็ก ๆ ไม่มีเสนาสนะที่ถาวรใด ๆ เป็นเพียงกุฏิ ไม้ไผ่หลังคามุงแฝกเพียงหลังเดียวเท่านั้น เนื่องจากท่านเป็นพระที่เคร่งทางวิปัสสนา จึงมีคนเคารพนับถือมากกิตติศัพท์ในการรักษาผู้ป่วย โดยท่านใช้ตำรับยาแผนโบราณ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเงินขจรกระจายไปทั่วทั้งคุ้งแม่น้ำน่านผู้คนหลั่งไหลมาให้รักษา มาขออาบน้ำมนต์ของหลวงพ่อเพื่อขจัดสิ่งโชคร้าย เป็นที่โจทย์ขานกันว่าน้ำพระพุทธมนต์หลวงพ่อเงินศักดิ์สิทธิ์นัก ทำให้มีผู้กล่าวว่า น้ำมนต์ของหลวงพ่อเงินนั้นไหลลงสู่แม่น้ำน่านตลอดเวลา สายน้ำที่หน้าวัดเวลานั้นกลับมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเรียกได้ว่าหากหลวงพ่อเงินท่านไม่อยู่ วักน้ำจากที่หน้าวัดอธิษฐานเอาก็ใช้ได้เหมือนกัน บ้างก็มาขอเครื่องรางของขลังจากท่านมิได้ขาด ท่านมีความเมตตาอารีต่อคนทั่วไป ใครมาหาก็ต้อนรับเสมอ โดยมิได้แสดงความเบื่อหน่ายแต่อย่างไร ชาวบ้านเอาสัตว์มาถวายไม่ว่าจะเป็นกระทิง ช้าง หมูป่า เก้ง กวาง ชะนี และจระเข้ ท่านก็รับไว้จนบริเวณวัดกลายเป็นสวนสัตว์ย่อม ๆ เท่าที่สืบทราบมา ท่านจะรักช้างของท่านมาก ท่านมีช้างไว้เพื่อเป็นพาหนะเดินทางไปรักษาญาติโยมที่เจ็บป่วยไม่ต้องเดินทางมารักษาที่วัด ซึ่งไกลและลำบาก โดยเฉพาะญาติโยมที่อยู่บ้านท้ายน้ำ บ้านบางลายในปัจจุบัน ท่านจะนั่งช้างออกมาหลังวัด
ผ่านบ้านปากลัดไปถึงบ้านท้ายน้ำ และบ้านบางลาย ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ถึง รักษาผู้ป่วยเจ็บและเดินทางกลับวัด ส่วนทางบ้านท่านั่ง บ้านดงกะพี้ บ้านท่าไม้ มีหมอแผนโบราณชื่อ ผู้ใหญ่ลา เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเงินท่านจะไปมาหาสู่กันโดยทางเรือเสมอ ญาติโยมไม่ต้องเดินทางมารักษา เรือของหลวงพ่อเงินลำใหญ่ใช้คนแจวหลายคน สำหรับวิธีโรครักษาของหลวงพ่อเงินนั้นค่อนข้างแปลกกล่าวคือท่านจะใช้ น้ำหมากป้ายศีรษะ ท่านสงเคราะห์ญาติโยมอย่างนี้มิได้ขาดและไม่คิดค่าตอบแทนใดทั้งสิ้น หลวงพ่อเงินเป็นพระนักก่อสร้าง จากการที่ผู้คนต่างเดินทางหลั่งไหลไปหาหลวงพ่อเงินมากมาย จากสำนักสงฆ์เล็ก ๆ ก็ได้รับการพัฒนาเป็นเรือนไม้สัก มีศาลา มีวิหารและพระอุโบสถ เสนาสนะต่าง ๆ เกิดขึ้นตามลำดับ จนเป็นวัดใหญ่โตในปัจจุบันและ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ วัดบางคลาน ” ท้ายที่สุดหลวงพ่อเงินท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณ ฝ่ายวิปัสสนา (โปรดติดตามต่อในฉบับที่หน้า)