เรื่อง/ ภาพ: นัทธ์หทัย วนาเฉลิม

งานแกะสลักไม้ทางภาคอีสานแม้ไม่วิจิตรซับซ้อนอย่างภาคกลางและภาคเหนือ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา แผงไปด้วยความขี้เล่นและมีชีวิตชีวา
งานศิลปะกรรมไม้ของอีสานหลายสิ่งได้แรงบันดาลใจจากพุทธศาสนา ซึ่งนอกจากตัวศาสนสถานแล้ว ไม้ยังถูกนำมาทำเป็นของใช้อื่นๆ อย่างมีพุทธศิลป์ เสียดายที่ไม่ใช่วัสดุที่คงทนอย่างหินหรือปูน จึงมีบ้างเผชิญอัคคีภัย บ้างบุกร่อน จึงไม่เห็นว่ามีศิลปกรรมไม้ที่เก่าพุทธศตวรรษที่ ๒๓
รอยสิ่วสลักลายอีสาน

ลายกนก ไม่กนกของภาคกลางเสียทีเดียว แม้จะมีส่วนประกอบหลักของกนกคล้ายกัน คือ มีตัวเหงา ตัวประกบ และเปลว แต่มีจังหวะของแต่ละตัวที่แคบบ้างห่างบ้าง ที่นิยมมากคือทำกนกปลายม้วน สันนิษฐานว่าอาจจะได้รับอืธิพลมาจากลายผักกูดในศิลปะทวารวดี
ลายก้านขด มีการผูกลายร่วมกับเครือเถา บางครั้งลายก้านขดจะเพิ่มลูกเล่นเข้าไปด้วย เช่น ลายก้านขดเทพนม ลายก้านขดเครือเถาใบไม้ดอกไม้ ลายก้านขดเครือเถาเคล้าภาพ
ลายกระจัง ลายรักร้อย ลายประจำยามก้ามปู มีความคล้ายภาคกลาง แต่ประยุกต์ลวดลายให้เข้ากับท้องถิ่น
ลายเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ลายวันแล่น (ลายเถาวัลย์เลื้อย) ลายสร้อยสา ลายบักนัด (ลายสับปะรด) ลายดอกไม้
ลายบุคคล มักพบในรูปปริศนาธรรม เช่น ลายราหูอมจันทร์ ภาพตัวเอกจากวรรณกรรม เช่น สังสินไซ นารีผล ภาพจากพุทธชาดก เช่น พุทธประวัติ พระเวสสันดร
ลายสัตว์ ที่พบบ่อยๆ จะเป็นลายนาค ซึ่งพบแทบจะทุกส่วนของงานไม้แกะสลัก อาจเนื่องจากตำนาน นอกจากนั้นยังพบลาย ลิง ม้า แพะ กระต่าย มอม และตุ๊กแก
ลายประยุกต์ เป็นลวดลายจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากประเทศจีน นำมาประยุกต์ใช้กับลวดลายท้องถิ่น เช่น ลายประแจ ลายประแจสวัสดิกะ (ลายกระรอกหลงรัง) ลายสานไส้ไก่ ลายฮ่อ (ริบบิ้น) และลายเห็ดหลินจือเป็นต้น
ลวดลายที่เล่ามานี้มีทั้งแบบแกะสลักเป็นลายเดี่ยวๆ และแบบแกะสลักผสมผสานกับลายเครือเถา

สิมศรัทธา

สิม เป็นภาษาอีสาน หมายถึง โบสถ์
สิมอีสานมักมีขนาดเล็ก เพียงพอแค่ให้พระภิกษุในจำนวนขั้นต่ำประกอบสังฆกรรมได้ น่าเสียดายที่ไม้นั้นเป็นวัสดุที่ไม่คงทนจึงผุพังไปตามกาลเวลา หรือผจญอัคคีภัยได้โดยง่าย
ปัจจุบันส่วนใหญ่ที่พบจึงเป็นสิมปูนโดยมีไม้แกะสลักเป็นเครื่องหลังคา เช่น “ช่อฟ้า (สัตตบริภัณฑ์) โหง่ว (ช่อฟ้า) ลำยอง” เครื่องไม้บนหลังคานี้มักสลักเสลาเป็นรูปพญานาค มีนิทานพื้นบ้านเล่าต่อกันมาว่า
“ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติสมาธิอยู่ในกุฏิ พญาครุฑได้โฉบเอานาคบินผ่านมา นาคนั้นได้ใช้หางรัดเสากุฏีเอาไว้ ข้างฝ่ายพญาครุฑผู้หิวโหยก็พยายามดึงเอานาคไปเป็นอาหาร เย่อกันไปเย่อกันมาจนกุฏิสั่นไหว ทำให้พระพุทธองค์ทรงออกจากสมาธิ เมื่อทรงทราบเรื่องจึงขอบิณฑบาตรชีวิตนาคนั้นจากพญาครุฑ เมื่อรอดจากการเป็นอาหารแล้ว นาคจึงปวารนาตัวเป็นเครื่องตกแต่งหลังคาให้กับพุทธสถาน”
ยังมีสิ่งที่ช่วยรับน้ำหนักระหว่างหลังคาและตัวสิมเรียกว่า “คันทวย” หรือ “แขนนาง” ซึ่งมีความน่าสนใจในลีลาสร้างสรรค์ของช่างจนเกิดเป็นสกุลช่างต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งจำแนกออกได้เป็น ๓ รูปแบบ คือ ทวยแผง ทวยนาคเกี่ยว และทวยลักษณะพิเศษ
ทวยแผง มีชื่อเล่นน่ารักที่กลุ่มช่างพื้นบ้านอีสานโบราณเรียกว่า “ทวยปีกบ่าง” โดยนำไปเปรียบเทียบกับเนื้อเยื่อบางๆ ในส่วนที่ใช้ร่อนของสัตว์จำพวกบ่าง ทวยแผงนี้มีการสลักเสลาแตกต่างจากคันทวยประเภทอื่นๆ ที่ทำเป็นรูปพญานาค คือ นำลายกนกใบผูกกูดมาผูกลายร่วมกับลายวันแล่น (เถาวัลย์เกาะเกี่ยว) หรือลายพรรณพฤษา
ภาพทวยแผง หรือ ทวยปีกบ่าง อย่างสกุลช่างมุกดาหาร ที่วิหารวัดมโนภิรมย์ ประกอบไปด้วยลายกนกลายผักกูด ดอกไม้และลายสานไส้ไก่ ส่วนตรงขอบประดับลายวันแล่น ตามจินตนาการของช่าง



ในบรรดาไม้แกะสลักประดับสิมยังมีโครงสร้างที่น่าสนใจอีกส่วนคือ “ฮังผึ้ง” หรือ “รวงผึ้ง” ในภาษาภาคกลาง ทำหน้าที่บังแดดและฝนไม่ให้สาดส่องเข้าสู่พื้นที่ว่างภายในอาคาร ทั้งยังมีประโยชน์ในส่วนโครงสร้างของหลังคาลักษณะกึ่งคานหรือกำแพงผนังรับน้ำหนักตามหลักการถ่ายแรง
ส่วนสีหน้าและฮังผึ้งเป็นส่วนที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกทั้งในแง่โครงสร้างและสังความงาม สังเกตได้ว่าช่างพื้นบ้านนิยมนิยมทำฮังผึ้งแบบแผงไม้ อาจจะมีการตกแต่งลวดลายอย่างศิลปะไทยผสมจีน ส่วนช่างญวนที่เข้ามาเป็นแรงงานสร้างสิมในภายหลังนั้นไม่นิยมสร้างฮังผึ้ง แต่จะใช้การทำแผงผนังโปร่งแบบซุ้มอาร์คโค้ง หรือ ซุ้มโค้งแบบชาราเซน (saracen) ในขณะที่ต้นทางวัฒนธรรมอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมทำเพียงช่องโค้งเรียบๆ ไม่มีการตกแต่งลวดลายใดๆ
ภาพฮังผึ้งแบบแผง อย่างความนิยมช่างอีสานพื้นบ้าน วัดโพธิ์ศรี จ.ขอนแก่น ฝีมือ “พ่อหนูมอญ ปทุมวัน” สิมวัดโพธิ์ศรีบ้านศิลา ได้รับพระราชทานรางวัลการอนุรักษ์ศิลปะและสถานปัตยกรรมดีเด่นประจำปี ๒๕๔๕ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสลักเป็นลายเทพนม และลายดอกผักกูด
พระไม้ศรัทธาปรากฏรูป

“ย้อนไปในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเป็นสหชาติกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นถึงฤดูเข้าพรรษาพระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ระยะเวลา ๓ เดือน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงคิดถึงพระพุทธเจ้ามาก จึงทรงแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้แก่นจันทน์ขึ้นมา”…เป็นตำนานการสร้างพระไม้องค์แรกของโลก น่าเสียดายที่ไม่ใช่วัสดุที่คงทน พระพุทธรูปแบบคันธราชจึงเป็นหลักฐานการสร้างพระพุทธรูปที่เก่าที่สุดในเวลานี้
เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจว่าเดิมภาคอีสานเมื่อ ๓๐๐ ปีก่อน เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง ศิลปวัฒนธรรมหลายอย่างในภาคอีสานจึงได้รับการถ่ายเทอิทธิพลมาจากล้านช้างด้วย
พระพุทธรูปอย่างศิลปะล้านช้างนั้นมีพุทธลักษณะขมวดพระเกศาเล็กและเรียงตัวถี่ยิบอย่างหนามขนุน พระขนงเดินเส้นคู่ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์หยักยิ้มน้อยๆ อย่างที่ศาสตราจารย์ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ท่านให้สมญารอยยิ้มนี้ว่า “ยิ้มแบบล้านช้าง” สังฆาติปลายตัด นิ้วพระหัตถ์เรียบเสมอกัน

แต่…
ผู้ที่จะสร้างพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามได้จะต้องเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรือเป็นผู้ที่มีทุนทรัพย์มั่งคั่ง ชาวบ้านทั่วไปจึงนิยมแกะสลักขึ้นมาเอง โดยแกะสลักขึ้นขึ้นเพื่อใช้บูชาในครัวเรือนเพราะคนอีสานสมัยก่อนไม่นิยมซื้อ-ขายพระพุทธรูปเพราะถือว่าเป็นบาป แกะสลักขึ้นมาเพื่อถวายวัดเพื่อสืบทอดพระศาสนา ด้วยเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์ไปเกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย์ รวมทั้งแกะสลักขึ้นมาเพื่อแก้บนให้หายป่วย หรือเพื่อสืบชาตา โดยนำไปไว้บริเวณต้นโพธิ์ในบริเวณวัด
ไม้ที่นำมาแกะสลักพระพุทธรูปมักเป็นไม้ที่มีชื่อพ้องเสียงกับคำมงคล หรือ ปรากฏอยู่ในชาดกพุทธประวัติ เช่น
ไม้กระโดน ไปพ้องเสียงกับคำว่า “โดน” ในภาษาอีสาน หมายถึง นาน จึงเชื่อว่าอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปจากไม้กระโดนจะทำให้มีชีวิตยืนยาว
ไม้ขนุน เพราะคำว่า “หนุน” จึงเชื่อว่าอานิสงส์จะมีคนเกื้อหนุน
ไม้มะขาม เชื่อว่า จะเป็นที่น่าเกรงขาม ไม้มะขามมีสีดำเข้มทำให้คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นไม้งิ้วดำ
ไม้งิ้วดำ มีตำนานเล่าถึงชายที่มีร่างกายอ่อนแอ เมื่อนำไม้งิ้วดำมาคนหม้อข้าว หลังจากข้าวสุกแล้วนำมากิน ร่างกายก็กลับกำยำแข็งแรง จึงทำให้เชื่อว่า อานิสงส์จากการสร้างพระไม้งิ้วดำจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
ไม้พยูง ด้วยชื่อของมันที่ฟังใกล้เคียงกับคำว่าพยุง จึงทำให้ผู้ใช้งานเชื่อว่าชีวิตจะไม่ล้มเหลว จะมีผู้มาพยุงค้ำจุนไว้
ไม้คูน ภาคอีสานมีคำว่า “ค้ำคูน” หมายถึง คอยค้ำจุน สนับสนุนให้เงินทอง โชคลาภเพิ่มทวีคูณ จึงหวังอานิสงส์นี้จากการนำไม้คูนมาแกะสลักเป็นพระ
ไม้มูกเกี้ย มูกมัน ไม้กันเกรา ไม้จันทน์ มงคลอยู่ที่กลิ่นหอมของดอกหรือเนื้อไม้
ไม้โพธิ์ ตามพุทธประวัติองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ไม้โพธิ์จึงถือว่าเป็นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์
ไม้ยอ ด้วยเชื่อว่าจะเป็นที่ชื่นชมยกยอ
หลังจากสร้างพระแล้วทางอีสานจะมี “พิธีบ๋อตา” หรือ “พิธีเบิกเนตร” ด้วยความเชื่อที่ว่าในช่วงที่สร้างพระอาจจะเผลอทำกิริยาที่ไม่เหมาะไม่ควร แต่ถือว่าพระพุทธรูปที่ยังไม่ผ่านการทำพิธีบ๋อตานั้นท่านจะยังมองไม่เห็น คิดเสียว่าไม่เห็นเท่ากับไม่ผิดบาป
การทำพิธีบ๋อตาอย่างอีสานนั้นไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพียงเตรียมดอกไม้ใส่ขันกระหย่อง ธูปเทียน ใช้ดินสอขีดตรงดรงตาเสมือนเปิดเปลือกตาบนเปลือกตาล่าง โดยสวดมนต์บทพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร ซึ่งเป็นตอนที่พระอัญญาโกญธัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมและขอบวชเป็นภิกษุรูปแรก
สังเกตว่าพระพุทธรูปสำคัญในภาคอีสานนอกจากจะมีการตั้งพระนามตามพุทธลักษณะแล้ว ยังมีการตั้งชื่อตามน้ำหนักหน่วยนับอย่างโบราณด้วย เช่น หลวงพ่อองค์ตื้อ หลวงพ่อพระติ้ว ซึ่งเป็นน้ำหนักขององค์พระ
หน่วยนับนั้นมีอยู่ว่า หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน โกฎิ กือ ตื้อ ติ้ว ตัง (อนันตัง) เรื่องราวเกี่ยวกับหน่วยนับโบราณเทียบเป็นกิโลกรัมนี้ถูกบันทึกไว้เป็นส่วนหนึ่งในตำราชินกาลมาลีปกรณ์ หากสนใจสามารถไปหาอ่านกันได้
