ตามประเพณีไทยโบราณก็ถือว่ากระโถนเป็นของสำคัญเช่นกัน ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงเมื่อได้รับพระราชทานเครื่องยศพานทองก็ย่อมได้กระโถนทองด้วย (กระโถนลูกเล็กเพื่อเป็นเกียรติ) กระโถนทองนั้นก็ต่างกันอีกถ้าเป็นราชตระกูลเป็นกระโถนทองคำสลักลาย ถ้าไม่ใช่ราชตระกูลก็เป็นกระโถนทองคำพื้นเกลี้ยง
![](https://anurakmag.com/wp-content/uploads/2022/07/2-2.jpg)
ที่กล่าวว่ากระโถนมีใช้มาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยนั้น เป็นการประเมินจากวัฒนธรรมการกินหมากว่ามีมาแต่ครั้งกระโน้น ในศิลาจารึกก็ว่าทำสวนหมากสวนพลูกันแพร่หลาย ขอมได้รับวิธีกินหมากมาจากอินเดีย ขอมเข้ามาเดินเพ่นพ่านอยู่ในสุโขทัย ไทยเห็นเข้าก็ลองดูบ้าง หรือกล่าวให้มีสง่าราศีดูดีขึ้นอีกสักหน่อยก็ว่า ครั้งกษัตริย์ขอมยกพระราชธิดาชื่อนางสิขรมหาเทวีให้เป็นพระมเหสีพ่อขุนผาเมือง นางสิขรมหาเทวีก็คงเสวยหมาก นางกำนัลก็ต้องเชิญพระกระโถนมาด้วย
แรกเริ่มเดิมทีคนไทยจะเรียกกระโถนว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ มาถึงสมัยกรุงเทพฯ มีคนอยากรู้คำว่ากระโถนมาจากไหน เจ้านายพระองค์หนึ่งคือกรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงสันนิษฐานว่า ชื่อกระโถนมาจากคำว่า “กะ-ถ่ม” คือเวลาจะถ่มน้ำลายน้ำหมาก ก็ต้องกะให้ถูกต้องแม่นยำเสียก่อนแล้วจึงถ่ม ไม่เช่นนั้นก็จะเลยปากกระโถน คำสันนิษฐานสนุกดีแต่ไม่มีคนยอมรับ
การเรียกชื่อกระโถนเห็นจะไม่เหมือนกันไปหมดทุกภาค เช่นทางภาคอีสานเรียกกระโถนว่า ‘เงี้ยง’ ก็มี เรียก ‘กระโถน’ ก็มี เมื่อครั้งเป็นนักเรียนครูสอนภาษาไทยเคยเอาภาษาถิ่นมาพูดให้ฟัง ยกตัวอย่างเช่น คนอีสานเขาบอกให้เอากระโถนไปถอก นักเรียนก็หัวเราะกันคึกคักเพราะไม่เข้าใจภาษา ต่อเมื่อครูอธิบายว่าคำถอกเขาหมายถึง ‘เท’ นักเรียนจึงอ้าปากร้องอ๋อ คือเขาให้เอากระโถนไปเทนั่นเอง
![](https://anurakmag.com/wp-content/uploads/2022/07/3-2.jpg)