
Sustainability Expo 2020
นิตยสารอนุรักษ์ ฉบับที่ 60
เรื่องและภาพ โดย ศิริวรรณ เต็มผาดี
จะดีแค่ไหน ถ้าเรามีพลังที่จะเปลี่ยน ‘เรา’ และ ‘โลก’
สู่สิ่งที่ดีกว่าในวันนี้ได้
อากาศที่ดีกว่า อาหารที่ดีกว่า สุขภาพที่ดีกว่า การศึกษาที่ดีกว่า เศรษฐกิจการเงินที่ดีกว่า สังคมที่ดีกว่า
ในช่วงสองทศวรรษมานี้ ความเปลี่ยนแปลงในหลากหลายด้านของโลก สร้างแรงเหวี่ยงให้เกิดประโยคที่เรามักพูดกันบ่อยครั้งขึ้นว่า “สังคมเราเดี๋ยวนี้มันแย่” “โลกเราแย่ขึ้นทุกวัน ๆ” “อากาศเลวร้ายขึ้นทุกปี”
สถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ยิ่งเป็นตัวหนุนให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ความมั่นคงทางด้านอาหาร พลังงาน และความสงบสุขของโลกยิ่งถดถอย ในขณะที่สภาวะด้านสิ่งแวดล้อมโลกก็เข้าขั้นวิกฤติไปทุกขณะ เห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อให้เราสามารถ ‘อนุรักษ์’ โลกที่น่าอยู่เอาไว้ได้ ‘ความยั่งยืน’ (sustainability) จึงเป็นแนวทางในการพัฒนาโลก ซึ่งหมายถึงการหาแนวทางเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ไปพร้อม ๆ กับการทำให้โลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตน่าอยู่ โดยจะเป็นการพัฒนาความยั่งยืนทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรมนุษย์ และทรัพยากรทางสังคม

หลังจากที่องค์กรสหประชาชาติได้นำแนวคิดเรื่องความยั่งยืนของโลกมาเป็นข้อแนะนำในการพัฒนาประเทศต่าง ๆ บรรดาผู้นำโลกก็ได้รับรองข้อตกลงใน “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development Goals – SDGs) ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาในระดับนานาชาติ เพื่อให้เป็นทิศทางการพัฒนาโลก โดยกำหนดกรอบเวลาไว้ตั้งแต่ปี ๑๕๐๑ – ๒๐๓๐ เป้าหมายเหล่านี้เป็นการเรียกร้องในระดับโลกเพื่อใช้เป็นมาตรการในการกำจัดความยากจน ปกป้องสิ่งแวดล้อมของโลก และเป็นหลักประกันว่าผู้คนบนโลกจะอยู่ในความสงบสุขและรุ่งเรือง
แต่เป้าหมายนี้ไม่อาจจะเป็นจริงได้ หากไม่เกิดการร่วมลงมือทำอย่างแท้จริง
งาน Sustainability Expo 2020 จากความคิดริเริ่มของมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเพิ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีขึ้นเพราะอยากให้ผู้คนได้ตระหนัก เข้าใจ แล้วนำไปสู่การลงมือทำอย่างแท้จริง
ภายใต้สโลแกน ‘สมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า’ งานเอ็กซ์โปนี้ ได้แบ่งออกเป็น ๔ โซน โซนอาหาร ที่นำเสนออาหารอร่อยและมีส่วนร่วมในการรักษ์โลก โซนเด็ก ที่ให้คนรุ่นเยาว์ได้เรียนรู้ร่วมแรงสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน โซนตลาดขายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสินค้าเพื่อความยั่งยืน สุดท้ายคือ โซนนิทรรศการหลัก ที่แม้ผู้เข้าชมจะคับคั่งน้อยกว่าโซนอาหารที่มีนักชิมนักช้อปเนืองแน่นตลอดวัน แต่โซนนิทรรศการหลักนี้แหละคือหัวใจของงานครั้งนี้ ซึ่งได้นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการจัดงาน โดยมีจุดประสงค์หลักคือ สร้างการรับรู้และสนับสนุนแนวทางปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาระดับโลก สร้างสมดุลที่ดีขึ้นสำหรับเรา ชุมชนของเรา และโลกของเรา


เพื่อสร้างความยั่งยืนของแบรนด์ “ช้าง”

และผลิตภัณฑ์บรรจุอาหารทำจากพืชหลากชนิด
ในงาน นอกจากจะมีผู้มีบทบาทในการเป็นผู้นำเพื่อการขับเคลื่อนสังคมสู่สิ่งที่ดีกว่าในด้านต่าง ๆ มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ อาทิ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล คุณต้องใจ ธนะชานันท์ คุณสุทธิชัย หยุ่น รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เป็นต้น ยังมีการจัดแสดงผลงานของหลากหลายองค์กรที่มีหมุดหมายในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน
บริเวณทางเข้าด้านหน้าของโซนนิทรรศการหลัก ต้อนรับผู้มาเยือนซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนเมืองหลวงมากที่สุดด้วย ‘ชีวิตท้าทายที่กรุงเทพฯ’ มหานครที่ต้องเผชิญความท้าทายในการพัฒนาหลายประการ (จากสถิติในช่วง ๔ ปี (The Economist Intelligence Unit 2018 / Safe Cities Index 2021) พบว่า กรุงเทพฯ รั้งท้ายทั้งในแง่ความน่าอยู่ ความปลอดภัยส่วนบุคคล ด้านสุขภาพ โครงสร้างพื้นฐานและไซเบอร์ อาชญากรรมและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการมีพื้นที่สีเขียว คุณภาพอากาศและการจัดการขยะมูลฝอย)
บนบอร์ดใหญ่ยักษ์ ไล่เรียงความท้าทายอันดับที่ ๑: เมืองที่พื้นที่สีเขียวสาธารณะยังกระจายไม่ทั่วถึงทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ อันดับที่ ๒: เมืองที่ยังเดินไม่ได้เดินไม่ดี เพราะการเดินทางที่หลากหลาย รถ ราง เรือ ยังครอบคลุมไม่ทุกพื้นที่ อันดับที่ ๓: เมืองที่มีความเสี่ยงในการเข้าถึงบริการสาธารณะสุขของผู้คนในเมือง ด้วยการที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ในขณะที่บริการสาธารณสุขกระจุกตัวอยู่ในใจกลางเมืองเสียมาก อันดับ ๔: เมืองที่ยังมีข้อจำกัดด้านความรู้ที่เท่าเทียม ด้วยแหล่งเรียนรู้อย่าง พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ห้องสมุด และสถานที่ช่วยเสริมประสบการณ์การเรียนรู้อย่างสวนสาธารณะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เมืองชั้นใน


ที่น่าสนใจคือการให้ผู้เข้าชมงานได้มีส่วนร่วม ผ่านการตอบคำถาม ‘yes’ หรือ ‘no’ ๑๐ ข้อ เป็นการเปิดให้ผู้มาร่วมงานได้แสดงพลังความคิดต่อการจัดการกับปัญหาของเมือง อาทิ ไฟส่องสว่างสำคัญกว่านำสายไฟลงดิน เปลี่ยนพื้นที่ร้างใต้สะพานให้เป็นสวนขนาดเล็ก ออกกฎบังคับให้มีสถานพยาบาลไม่เกิน ๕ กิโลเมตรในเขตชุมชน เป็นต้น
ใกล้ ๆ กันคือบู้ธของภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนพื้นที่สีเขียวในเมืองอย่าง Bangkok Rooftop Farming, Circular Urban Farming Network (เครือข่ายหมุนเวียนเปลี่ยนเมือง) The NETWORK for Sustainable Development Association (สมาคมเครือข่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) ที่มาร่วมกันจัดแสดงสวนผักบนดาดฟ้า และการเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย
ผลงานแปลงผักบนดาดฟ้าของคนเมืองหลวงที่มีทั้งพืชผลไม้ไทย และพืชผักสายพันธุ์ฝรั่งอย่างเคล คอส สวิสชาร์ด จากหลายนักปลูกคนกรุงที่ไม่ได้มีพื้นที่มากมาย แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวเล็ก ๆ กระจายไปทั่วเมือง และทำให้มีผักปลอดภัยเป็นอาหารของคนเมือง
การจัดแสดง ‘ฝุ่นเมือง เรียนรู้และอยู่ร่วม’ ทำให้หลาย ๆ คนรู้ว่า คำว่า ‘ไม่มีฝุ่นแล้ว’ นั้น ไม่มีอยู่จริง เพราะฝุ่นไม่ได้หายไป เพียงแต่ย้ายที่ของมันแค่นั้น และฝุ่นยังคงอยู่ แม้ว่าเราจะไม่เห็นมันก็ตาม
เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ไทยก็เป็นหนึ่งที่ร่วมวางเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โรดแมพของกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นเส้นทางสู่ Net Zero ๒๐๖๔ ของไทย ที่เน้นการสร้างสมดุลระหว่างการปล่อย GHG (Greenhouse Gas อันเกิดจากรถยนต์ โรงงาน การทำฟาร์มปศุสัตว์ ขยะมูลฝอย ) กับ การดูดกลับ GHG (ด้วยต้นไม้ และการใช้พลังงานที่มีอยู่ในธรรมชาติ)

หลายแบรนด์ หลากองค์กร ได้เข้ามาร่วมในงานนี้ เพี่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่มีต่อโลก เพราะทุกวันนี้ ธุรกิจใด ๆ ก็ไม่อาจยั่งยืนได้ หากไม่ใส่ใจความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เราได้เห็นแบรนด์น้ำดื่ม “ช้าง” บอกเล่าเรื่องการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดทรัพยากรในการผลิตกระป๋องอลูมิเนียมมากกว่า ๓ ล้านกิโลกรัม/ปี เราได้เห็น GC – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ตั้งบู้ธ Trashpresso เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้มีประสบการณ์ Upcycling พลาสติกใช้แล้วนำไปมีมูลค่าเพิ่มได้ เราได้เห็นสารพัดรถทั้งเล็กและใหญ่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เราได้เห็นการนำเอาเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหาขยะ ทั้งในรูปแบบของการกลายเป็นปุ๋ยและเป็นสินค้าอื่น ๆ เราได้เห็นถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำมาจากพืช และแนวคิดน่าสนใจหลายประการในงานนี้
แต่ชุดข้อมูลความรู้หรือเทคโนโลยีใด ๆ ก็ไม่อาจช่วยได้ หากเราไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เหมือนที่ รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต กล่าวไว้ว่า “นวัตกรรมที่ดีต่อโลกและสังคม ต้องเริ่มจากการลงมือทำ”
เราแสดงพลังเปลี่ยนโลกสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ ด้วยการร่วมกันลงมือทำเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เพื่อโลกที่เรายังใช้ชีวิตอยู่ และเพื่อโลกที่คนรุ่นหลังเราจะได้อยู่สืบไป