Saturday, October 18, 2025
พระเครื่อง บทความแนะนำ

พระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ฐานแซม องค์น้ำหมาก

เรื่อง: คนชอบ(พระ)สวย, ปรีชา เอี่ยมธรรม

จากหนังสือชีวประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ฉบับของมหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพยโกษา (สอน โลหนันทน์) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า นายผลกับนางลา พื้นเพเป็นชาวสวน ภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชรมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อนางงุด ขณะนั้นนางกำลังเป็นสาวสวยแต่ต้องหลบตัวซ่อนอยู่แต่ในบ้านเพราะบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะสงคราม พม่ายกมาตีเมืองกำแพงเพชรและพิษณโลก


ครั้งนั้นพระเจ้าพระยาจักรีได้ต่อตืจนอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพพม่า ต้องพ่ายแพ้แก่ท่าน รีบยกทัพกลับพม่า ขณะตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร ในเช้าวันหนึ่ง ท่านขี่ม้าออกตรวจสนามขณะชักม้าวกกลับเพื่อตัดทุ่ง ม้าก็พยศวิ่งพาท่านตัดป่าตัดพง สักระยะหนึ่งก็เกิดการกระหายน้ำเป็นกำลัง จำเพาะม้าพาวิ่งมายังปลายนาด้านใต้เมืองกำแพงเพชร พอมองเห็นโรงนาตั้งอยู่ ท่านแม่ทัพจึงชักม้าวิ่งตรงมา แต่ไม่เห็นคนผู้ใหญ่เห็นแต่หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา ท่านแม่ทัพจึงบอกแก่นางว่า “ข้ากระหายน้ำ เจ้าจงตักน้ำให้ข้ากินสักขันเถิด” นางคนนั้นจึงวิ่งด่วนเข้าไปในห้อง จ้วงตักน้ำในหม้อ แล้วเลยไปหักบ้าหลวงมาสองสามดอก ฉีกเอาเกสรบัวไล่ลงไปในขันน้ำแล้วส่งให้ดื่ม

ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับเอาขันน้ำขึ้นมาหวังจะดื่มให้ดับกระหาย แต่ต้องคอยเป่าเกสรบัวออกเสียก่อนจึงค่อยๆ ดื่มได้จนหมดขัน จึงเอ่ยถามนางว่า เหตุไฉนจึงแกล้งให้เราดื่มน้ำไม่สะดวก เจ้าแกล้งทำเล่นแก่เราหรือ?


นางตอบว่า ที่กระทำเช่นนั้นเพราะคนกำลังกระหายน้ำมาถ้าดื่มสะดวกก็จะดื่มทีเดียวจนหมดขัน อาจทำให้ลมตีกลับเป็นอันตรายได้ ซึ่งท่านแม่ทัพได้ฟังก็พอใจ เมื่อพูดดยกันไปนานๆ ก็เห็นว่าแม่นางคนนี้เป็นสาวที่มีผิวพรรณผุดผ่อง พูดจาฉะฉานถูกใจนัก จึงเกิดความรักขึ้นมาทันที ที่เรียกว่าเป็นบุพเพสันนิวาสที่สรรค์สร้างมาแต่ปางก่อน และนางก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ท่านแม่ทัพก็รอจนกระทั่งเย็นลง พ่อแม่นางกลับมาจากไร่ จึงได้พูดจาสู่ขอนางมาเป็นกรรยา ซึ่งพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ไม่ขัดข้อง แต่ขณะนั้นท่านแม่ทัพมาแต่เพียงลำพังไม่มีทรัพย์สินเงินทองติดตัวมา จึงถอดแหวนใส่นิ้วนางไว้ก่อนโดยประเมินเป็นเงิน ๒๐ ชั่ง ต่อเมื่อกลับกองทัพแล้วจึงนำเงิน ๒๐ ชั่งมาถ่ายแหวนคืน


ท่านแม่ทัพได้อยู่กับนางเพียงระยะหนึ่งด้วยมีภารกิจสำคัญ เพราะขณะนั้นบ้านเมืองเพิ่งจะพื้นตัวจากทำสงครามขับไล่พม่าอยู่และเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน จำเป็นต้องกลับมาสร้างบ้านแปลงเมืองใหม่

หลังจากท่านแม่ทัพกลับกรุงเทพฯ ได้ไม่นาน ตาผลและยายลามาคิดดูว่า “ถ้าเราทำสวนทำนาอยู่อย่างนี้ อนาคตคงจะขัดสนอย่างแน่นอน” กับทั้งเงินที่ท่านแม่ทัพให้จำนวน ๒๐ ชั่ง ในขณะนั้นเงินจำนวนนี้มีคุณค่ามหาศาลพอที่จะทำการค้าได้เป็นอย่างดี

สองคนตายายจึงผันตัวเองจากชาวไร่ชาวนา หาซื้อเรือต่อได้หนึ่งลำแล้วซื้อสินค้าประเภทพืชไร่จากเมืองเหนือ ย่านพิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ ขายดะลงมาเป็นระยะๆ จนถึงกรุงเทพฯ สินค้าหลักก็คือ ข้าวเปลือก ตลอดจนพืชไร่อื่นๆ ยิ่งสมัยก่อนนั้นถนนหนทางรถราไม่มี มีหนทางสายเดียวเท่านั้น คือการค้าขายทางเรือ เมื่อเรือของตาผล ยายลาล่องมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ได้อาศัยจอดเรืออยู่ที่ท่าบ้านนายทอง นางเพียนที่บางขุนพรหม ซึ่งทั้งสองเป็นคนที่เคยรู้จักมักค้นกันมาก่อน


การทำมาค้าขายของสองสามีภรรยาเป็นไปด้วยดี เพียงไม่กี่เดือนก็ได้กำไรพอสมควรจนสามารถสร้างเรือนแพสองหลังแฝดจอดอยู่ที่บางขุนพรหมนั่นเอง

ณ วันพุธ เดือนหก ปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙ นางงุดคลอดบุตรเป็นชาย ร่างกายล่ำสัน จึงเรียกท่านว่าโต ท่านมีผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม เป็นที่เสน่หาแก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กชายโตมีปานดำดวงใหญ่อยู่ที่ด้านหลัง และกระดูกแขนท่านติดต่อกันเป็นท่อนเดียว เป็นเหตุให้มีคนทายทักกันไปต่างๆ นานา ทำให้นางงดเกิดความวิตกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าเด็กที่มีความพิเศษเช่นนี้ จะเลี้ยงยาก ตายายพิจารณาแล้วว่าสมควรจะพาไปถวายพระรูปหนึ่งรูปใดที่มีความรู้ความสามารถ และมีบารมีคุ้มครองลูกตนเองได้อยู่ตลอดรอดฝั่งยั่งยืนนานตลอดไป


สุดท้าย นายทองและนางเพียน เพื่อนบ้านผู้ใจดี จึงแนะนำให้พาไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมแด่หลวงพ่อแก้ว วัดบางลำพูบนก็คือ วัดสังเวช นั่นเอง

ท่านอาจารย์แก้วได้ผูกดวงชะตาเด็กผู้นี้แล้วทราบด้วยญาณวิถีว่า เด็กคนนี้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นผู้เฉลียวฉลาด เปรื่องปราชญ์อาจหาญ เชี่ยวชาญวิทยาอาคม ทั้งเป็นคนที่มีอิสริยยศบริวารมาก เก่งกาจแก่คนทั้งปวง เจริญชนมายุยืนนาน แล้วจึงผูกข้อมือรับเป็นลูกบุญธรรม โดยฝากให้นางงุดช่วยเลี้ยงจนกว่าจะมีอายุครบสามขวบ ท่านให้
ค่าเลี้ยงดูเป็นค่าข้าวค่าน้ำปีละ ๑๐๐ บาท

เมื่อนายผล นางลา และนางงุด อยู่ ณ ที่เรือนแพบางขุนพรหมได้ไม่นานก็พากันกลับไปซื้อที่ปลูกบ้านใหญ่โต อย่างคนฐานะร่ำรวยขั้นเศรษฐีก็ว่าได้ สืบเนื่องจากเด็กชายโตแล้วนั้นฐานะก็มันคง เหลือเงินอย่างเป็นกอบเป็นกำยิ่งขึ้น


ขณะที่เด็กชายโตอายุ ๙ ขวบ นางผุดผู้เป็นมารดาได้นำบุตรชายไปฝากเรียนอยู่ในสำนักพระครูใหญ่ วัดท่าหลวง เมืองพิจิตร เพื่อเรียนหนังสือไทยและหนังสือขอม ตลอดจนกิริยามารยาท ขนบธรรมเนียม การวัด การบ้าน การเมือง ตลอดจนการโยธา ค้าขาย และอื่นๆ ที่จะรวมอยู่กับสังคมให้ได้ สมัยก่อนนั้นสถานที่จะศึกษายังไม่มี ต้องศึกษาจากวัดวาอารามพระสงฆ์องค์เจ้าเท่านั้น

จนเด็กชายโตอายุ ๑๓ ปี ได้อยู่เรียนกับท่านอาจารย์วัดท่าหลวง เมืองพิจิตร จนเจนจบ และพระคุณท่านหมดภูมิที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่เด็กชายโตแล้ว ท่านจึงกลับบ้านที่พิจิตร ทำพิธีโกนจุก พออายุได้ ๑๕ ปีก็บรรพชาเป็นสามเณร ท่านอาจารย์ใหญ่วัดท่าหลวง เมืองพิจิตร ส่งท่านไปศึกษาทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติกับพระอาจารย์ใหญ่ที่วัดบรมธาตุ เมืองชัยนาทบุรี อีก ๒ ปี ท่านพยายามเล่าเรียนจนทะลุในพระไตรปิฎกธรรม และเรียนจบแปดขั้นบาลี เรียนอย่างเจนจบรู้แจ้งแทงตลอด จนอาจารย์ใหญ่วัดบรมธาตุ เมืองชัยนาท หมดภูมิ ดังนั้นแล้ว สามเณรโตมีความกระหายไคร่จะล่องลงมาร่ำเรียนในสำนักสังฆราชบัณฑิตย์ นักปราชญ์หลวงดูบ้าง โดยใคร่จะเข้าสู่สำนักพระเถระเจ้าผู้สูงศักดิ์อัครฐานในกรุงเทพมหานครโดยความเต็มใจ


ขณะที่สามเณรโตเดินทางเข้ามาศึกษาในกรุงเทพฯ นั้นท่านมีอายุ ๑๘ ปี และได้ไปอยู่ที่วัดบางลำภูบนกับท่านอาจารย์แก้วที่รับสามเณรโตเป็นบุตรบุญธรรม ท่านได้นำสามเณรไปศึกษากับพระโหราธิบดี พระวิเชียร กรมราชบัณฑิต ให้ช่วยแนะนำเรียนรู้ในคัมภีร์ พระปริยัติธรรมทั้ง ๓ ปิฎกจนแตกฉานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระโหราธิบดี พระวิเชียร เสมียนตราด้วงขุนพรหมเสนา อาศัยอยู่ละแวกวัดบางลำภูบน คืออยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงเป็นการสะดวกที่จะเดินทางไปมาหาสู่กัน และท่านที่กล่าวนามมานั้นล้วนแต่เป็นคนที่มั่งคั่งด้วยหลักฐาน มีศรัทธาเชื่อมั่นในบวรพุทธศาสนา เมื่อท่านเหล่านั้นได้เห็นจรรยาอาการของสามเณรโตว่ามีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอย่างมาก เป็นคนรักเรียน จึงพากันมาเป็นโยมอุปัฏฐากสามเณรโตอีกด้วย


ในด้านการศึกษาทางปริยัติธรรม ท่านไปเรียนที่วัดระฆังและวัดมหาธาตุ ด้วยความเฉลียวฉลาดของท่าน ประกอบกับที่ผ่านการเล่าเรียนมาจากอาจารย์ใหญ่วัดท่าหลวง เมืองพิจิตรและส่งต่อไปเรียนกับอาจารย์ใหญ่แห่งวัดบรมธาตุ เมืองชัยนาท เป็นทุนมาก่อนแล้ว ความรู้ที่มีมาอย่างแตกฉานจึงทำให้ท่านสอบผ่านมาโดยตลอด จนพระอาจารย์วัดระฆังและวัดมหาธาตุพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สามเณรโตไม่ได้มาเรียนพระธรรมกับฉันหรอก เขามาแปลหนังสือให้ฉันฟังต่างหาก


กล่าวกันว่า เมื่อยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านเป็นนักเทศน์เพราะนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเมตตาครั้นอายุครบอุปสมบทเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงโปรดบวชเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงเรียกกันว่าพระมหาโต ตั้งแต่แรกบวชก็ไม่ปรารถนายศศักดิ์ เมื่อเรียนรู้พระปริยัติธรรมแล้วก็ไม่เข้าแปลหนังสือเป็นเปรียญและไม่รับเป็นฐานานกรม แต่เป็นนักเทศน์มีชื่อเสียง ทรงคุ้นเคยมาทั้งในรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ ท่านก็ทูลขอตัวเสียคงเป็นแต่พระมหาโตตลอดมา บางคนเรียกท่านว่าขรัวโตเพราะท่านจะทำตามความพอใจของท่าน ไม่ถือความนิยมของผู้อื่นแต่อย่างไร

ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งเป็นพระราชาคณะ ท่านไม่ขัด กล่าวกันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึงคุณธรรมของท่านไม่ยิงหย่อนเพียงไร จึงทรงตั้งเป็นที่พระราชาคณะที่พระธรรมกิติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๕ เวลานั้นท่านมีอายุได้ ๖๕ ปีแล้ว ต่อมาอีก ๒ ปี พ.ศ. ๒๓๙๗ ทรงแต่งตั้งเป็นพระเทพกวี ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์สนมรณภาพ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ พ.ศ. ๒๔๐๗ สถิต ณ วัดระฆัง


มีเรื่องเล่าว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เริ่มสร้างพระสมเด็จวัดระฆังแต่เมื่อท่านทรงสมณศักดิ์เป็นที่ธรรมกิติ (พ.ศ. ๒๓๙๕) เมื่อท่านสร้างพระสมเด็จวัดระฆังแล้ว ท่านได้แจกญาติโยมที่ตักบาตรเป็นเสมือนของที่ระลึก เมื่อแจกพระแล้วท่านจะบอกว่า พระนี้เก็บไว้ให้ดีนะ ต่อไปจะหาได้ยากยิ่ง

เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จชราภาพลงมากแล้วไม่สามารถที่จะดูแลวัดวาอารามได้ทั่วถึง จึงขอลาออกจากเจ้าอาวาส ยกให้พระพุทธบาทปิลันทน์ดูแลแทน แล้วท่านได้ปลีกวิเวกข้ามมาจำพรรษาที่วัดบางขุนพรหม ซึ่งในสมัยนั้นพื้นที่แถวบางขุนพรหมนี้ยังเป็นเรือกสวนไร่น่าที่สงบวิเวกณ ที่วัดบางขุนพรหมนี้เอง ท่านได้สร้างพระสมเด็จบางขุนพรหมบรรจุไว้ในเจดีย์ กับสร้างพระศรีอารยะโปรดสัตว์ไว้ที่วัดอินทรวิหาร….ในคอลัมน์พระสวยฉบับมิใจเสนอพระสมเด็จ พิมพ์ฐานแซม องค์แชมป้ออฟแชมป์เพื่อท่านได้ดูชมครับ

About the Author

Share:
Tags: พระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ฐานแซม /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ