Saturday, October 18, 2025
ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

ดุสิต สมิต หนังสือพิมพ์ของ ร.๖

เรื่อง/ภาพ: วีระยศ สำราญสุขทิวาเวทย์

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประวัติศาสตร์บันทึกว่า มีนิตยสารออกมาให้อ่านมากถึง ๑๒๗ ฉบับ และมีหนังสือพิมพ์รายวันออกถึง ๒๕ ฉบับ นอกจากพระองค์จะทรงสนับสนุนและเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านทางหนังสือพิมพ์และนิตยสารอย่างเสร็ ทั้งหนังสือของชาวไทยและชาวต่างประเทศในสยามแล้ว พระองค์ยังทรงดำรงบทบาทเป็นหลักในการทำนิตยสารเล่มสำคัญของยุค นามว่า”ดุสิต สมิต”


เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างดุสิตธานี เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ บริเวณวังพญาไทเป็นเมืองจำลอง (เมืองเล็กๆ คล้ายเมืองตุ๊กตา มีขนาดพื้นที่๑ใน ๒๐ เท่าของเมืองจริง) เพื่อทดลองวางรูปแบบประชาธิปไตยก่อนจะคิดใช้จริง นอกจากจะทรงจำลองสร้าง พระราชวัง ศาลารัฐบาล พรรคการเมือง วัดวาอาราม สถานที่ราชการ โรงทหารโรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร แล้วพระองค์ยังโปรดให้จัดทำหนังสือพิมพ์สำหรับเมืองจำลองนามว่าดุสิต สมิต ขึ้นมา


ดุสิต สมิต แทนที่จะเป็นรายงานความเคลื่อนไหวของเมืองจำลอง แต่เมื่อปรากฏออกมาจริง กลับเป็นนิตยสารแปลกแหวกแนว เป็นหนังสือพิมพ์เชิงล้อเลียน แถมแสดงจุดยืนบนปกหลังของหนังสือทุกเล่ม ที่อ่านแล้วยั่วยวนนัก “หนังสือดุสิตสมิต ปมิคิดคะดีทราม ตั้งจิตจะนำความ สุขะให้ฤดีสบาย ถึงล้อก็ล้อเพียง กละเยี่ยงวิธีสหาย ปมีจะมุ่งร้าย ปมิมุ่งประจานใคร ใครออกจะพลาดท่า ก็จะล้อจะเลียนให้ ใครดีวิเศษไซรั ก็จะชมประสมดี ชมเราก็แทงดิว ผิว่าฉิวก็ซอร์รี่ แม้แม้นมิคืนดี ก็จะเชิญ ณ คลองสาน”

คำว่า ดุสิต สมิต เป็นคำใหม่ ผู้คนในสมัยนั้นจึงพากันสงสัยในชื่อหนังสือ แต่ในคำอธิบายของบรรณาธิการกลับแจ้งว่า “เพราะเหตุไรก็เชิญแปลเอาเองเถิด” ความว่าจะอธิบายอย่างไรก็จะมีคนที่แย้งและไม่เชื่อ ดังนั้น คิดเองกันตามใจว่าหมายความว่าอย่างไรก็คิดเอาตามนั้น


เมื่อสงสัยกันว่าใครเป็นคนจัดทำ ดุสิต สมิต ก็มีคำตอบมืดแปดด้านให้ว่า “เรามีคณะ แต่บอกไม่ได้ว่าใครเป็นบรรณาธิการ เพราะแต่ละคนในคณะของเราล้วนเป็นคนเก่งและตีราตนสูงๆ ทั้งนั้น จึงไม่ยอมอ่อนน้อมแก่กัน ต่างแย่งกันเป็นบรรณาธิการทุกคน” แถมแจ้งให้เพิ่มเติมทราบว่า “เราไม่มีสำนักงานเป็นหลักเป็นแหล่ง เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ชอบเรา อย่าหาสำนักงานเสียให้ยากเลย” สุดท้าย ดุสิต สมิต เน้นย้ำว่า “เราตั้งใจเยาะเย้ยผู้ที่ทำตัวให้เป็นที่ควรเยาะเย้ย”

“เราจะออกเป็นครั้งเป็นคราวตามุญตามกรรม คือ
ก. ถ้าเป็นบุญของเรามีผู้รับฉบับแรกนี้มาก
เราก็มีทุนพอออออกได้ต่อไป
ข. ถ้าเป็นกรรมของเรา ไม่มีผู้รับเพียงพอ
เราก็จะพยายามออกไปจนกว่าเงินจะหมดกระเป๋าสมาชิกของคณะเรา แล้วก็คงต้องงดกันทีหนึ่งเท่านั้น
ค. ถ้าเป็นบุญของเรา สมาชิกแห่งคณะเราไม่เกิดความเกียจคร้านขึ้นพร้อมกัน ก็คงจะออกยั่งยืนต่อไปได้
ฆ. ถ้าเป็นกรรมของเรา สมาชิกแห่งเราเผอิญไปติดราชการ
ธุระส่วนตัวหรือเพราะเหตุอื่นที่ใช้แก้ตัวในเวลาเกียจคร้านฉะนั้นแล้ว เราก็คงต้องงดการออกชั่วคราว”


แต่ในความเป็นจริง ดุสิต สมิต เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ออกทุกวันเสาร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้จัดทำ มีนายจ่ายวด (ปาณี ไกรฤกษ์) เป็นผู้ช่วย นอกจากนั้นก็มี ม.จ. ดุลภากร, ม.ล. ปิ่น มาลากุล, พระมหาเทพกษัตรสมุห(เนื่อง สาคริก) ร่วมมือกันบริหารงาน ชายราคาเล่มละ ๑ บาทฉบับแรกออกวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖๑ รายได้ทั้งหมดที่ได้จากการจำหน่ายนำไปบำรุงราชนาวีไทย ในสมัยนั้น


ดุสิต สมิต เป็นนิตยสารนำเสนอเนื้อหาหลากหลาย แต่เนื้อหาหลักคือ กระบอกเสียงของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแถลงข้อกังขาต่างๆ ในช่วงเวลานั้น ด้วยว่าสยามเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ ๑ เพราะสยามแสดงจุดยืนว่าประกาศเป็นศัตรูกับเยอรมัน โดยมีการส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งแรกด้วย รวมถึง ดสิต สมิต เองก็น้ำเสนอบทความเสียดสีเยาะเย้ยเยอรมันอย่างหนัก โดยเฉพาะบทความแปลประกอบภาพ ตำนานชาติฮั่น (เยอรมัน) โดย อาร์เทอร์ มอร์แลนด์ แปลเป็นไทยโดยรามจิตติ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ที่รุนแรงด้วยความคิดเห็นและเนื้อหาภาพการ์ตูนล้อเลียนจากนักเขียนชาวอังกฤษ หรือบทความ “ไม่ต้องการเหี้ย” โดย รามจิตติ อันมีความหมายว่าหลังสงคราม ประเทศเราไม่ต้องการเยอรมัน

แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อหาในส่วนความเคลื่อนไหวทั่วไปของประเทศ ก็นำเสนออย่างเกรียวกราวอยู่เป็นระยะๆ เช่น กรณีของคดีสะเทือนขวัญสยาม บุญเพ็งหีบเหล็ก อันเป็นบทความรำคาญใจของผู้อ่านชนชั้นสูงของหนังสือที่เขียนจดหมายมาเตือนบรรณาธิการให้หยุดน้ำเสนอ เพราะอาจจะมีบุญเพ็งหีบเหล็กเกิดขึ้นมาอีกหลายใบ

อย่างไรก็ตาม หากมองผ่านสงครามไป ดุสิต สมิต ได้นำเสนอบทความสำคัญทางประวัติตาสตร์สำคัญในยุคอย่างมีคุณค่าเช่น ภาพคาร์ตูน (การ์ตูน) ล้อ เป็นผลงานภาพฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, รายงานข่าวและภาพประวัติศาสตร์หายากชุด ภาพแสดงการต้อนรับทหารไทย ทหารไทยกลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ ๑, รายงานกิจกรรมเสือป่า, เรื่องชวนหัว เช่น ตำนานบุหรี่ไทย, และ อภิธานของเรา เป็นการเลียนคำอ่านภาษาอังกฤษมาเป็นของตัวเอง อันเป็นที่มาของคำบางคำที่ปัจจุบันยังใช้พูดกัน เช่น Saga (ศักะ) Platter (พลาดท่า) Chennille (เช่นนี้) Frank (ฝรั่ง) Jaguar (อยากขอ) Hither (ให้เธอ) หรือคำคมสอนใจจากภาษาลาติน ฝรั่งเศส อังกฤษเยอรมัน ของนักคิดของโลก ที่คงด่าในความหมายงานแปล เป็นต้น


ดุสิต สมิต ออกจำหน่ายจนถึงปี ๒๔๕๕๖๗ จึงยุติการออกจำหน่ายกลายเป็นหนังสือในตำนานเล่มหนึ่งที่เป็นหนังสือเก่าเก็บหวงแหนสำหรับนักอ่านที่ชอบสะสมหนังสือราคาแพงและหายากอันต้บต้นๆ กระทั่งในปี ๒๕๒๘ นายเพิ่มพูน ไกรฤกษ์ ผู้จัดการมูลนิธิมหามงกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ แจ้งแก่กองรรณคดีว่ามีความประสงค์จะขอพิมพ์ ดุสิต สมิต เพื่อฉลองวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘


นักอ่านจึงมีโอกาสเป็นเจ้าของ ดุสิต สมิต ฉบับที่ระลึก ๓ เล่ม (พิมพ์เป็นปกอ่อนพื้นสีขาว พิมพ์ตัวหนังสือมีรายละเอียดของหนังสือบนตัวอักษรสีฟ้า โดยจัดพิมพ์รูปแบบง่ายๆ จากต้นฉบับปกแข็งรวมเล่ม ฉบับที่ ๑ – ๓๗) เป็นฉบับชำระใหม่ แก้ไขตัวสะกดให้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งลดทอนเนื้อหาและภาษาเฉพาะตัวของ ดุมิตลงไปมากมายอย่างนำเสียดาย ส่งผลให้ ดูสิต สมิต ฉบับตันแบบหายากยังคงเป็นหนังสือน่าอ่าน น่าอนุรักษ์ และหายากขึ้นๆ ยิ่งกว่าเดิม

About the Author

Share:

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ