เรื่อง/ภาพ: นิรมล เมธีสุวกุล

หลังจากที่ทำรายการทุ่งแสงตะวันมานาน แหล่งข่าวชาวบ้านทั้งที่ติดต่อกันเป็นระยะ เป็นครั้งคราว บ้างก็เป็นแหล่งข่าวที่ติดต่อกันต่อเหนื่อง จนแทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นกัลยาณมิตร

วันหนึ่ง เฟซบุ๊กของแหล่งข่าวเมืองกาญจนบุรี ก็ปรากฏรูปป่าหน้าแล้งที่งดงามมากรูปหนึ่ง ปิ๊งแว๊บขึ้นมาทันทีว่า ถ้าได้ชมดอกไม้ที่ขึ้นในปาธรรมชาติ คงจะเริ่ดไม่น้อยว่าแต่…จะมีดอกไม้ชนิดใดบ้างที่เบ่งบานในฤดูแล้ง
ลุงเปียก ประยงค์ แก้วประดิษฐ์ แห่งป่าชุมชนบ้านห้วยสะพานสามัคคี ย่อมไม่ทำให้เราผิดหวัง ลุงขับรถเข้าไปสำรวจทันทีแล้วแจ้งว่า มีดอกไม้บำหายากหลายชนิดกำลังบานได้ที่ โปรดรีบมาในบัดดล
ป่าไม้บ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นที่นี่ หรือที่ไหนในประเทศไทย มักมีเส้นทางชีวิตที่น่าสงสารคือ ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์มักจะถูกกำหนดให้เป็นป่าสัมปทาน เอกชนได้รับสัมปทาน ก็มาเลือกตัดไม้ต้นใหญ่ที่จะทำให้ได้ซุงเป็นท่อนชนิดหลายคนโอบ พอไม้รุ่นนั้นหมด ไม้ขนาดเล็กลงมาก็จะโดนตัด จากไม้ซุงกลายเป็นไม้หมอนรถไฟ ไม้เสาโทรเลข ไม้ฟืน ไม้ถ่าน โดยลำดับ ชุมชนที่มีความเชื่อและอนุรักษ์ป้ามาหลายชั่วคน ด้วยความเชื่อเรื่องป่า ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ มีศาลเพียงตา ศาลผีป่า ก็มิอาจทัดทานการตัดไม้ตามระบบแบบนี้ได้ หากชุมชนใดสังเกตความร้อนแล้ง และผลกระทบต่อต้นน้ำลำธาร ก็จะเริ่มถกปัญหาหาทางออกต่างๆ กันไป ชุมชนที่เข้มแข็งหลายแห่งรวมตัวกันคัดค้านสัมปทาน จนเกิดเป็นตำนานท้องถิ่นที่เล่าขานสืบต่อกันมา (วันหลังจะเล่าให้ฟังนะคะ) หลายแห่งช่วยกันป้องกันมิให้ป่าเสื่อมโทรม ด้วยการงดตัดไม้ทำถ่านทำฟืน กำหนดพื้นที่บำอนุรักษ์ ป่าใช้สอย มีกฎกติกาต่างๆ ของชุมชน หลายพื้นที่จึงมีป่าชุมชน ค่อยๆ ฟื้นคืนงอกงาม
ประสบการณ์การเดินทางทำงาน และติดตามกิจกรรมชุมชน ทำให้ดิฉันพบว่า อันสุดเสื่อม หากรวมใจกันสุดแรง ป่าที่คนและธรรมชาติช่วยกันสร้างสามารถเกิดขึ้นได้จริง และเห็นคาตาหลายพื้นที่
ป่าชุมชนบ้านห้วยสะพานสามัคคี เป็นป่าที่เคยเสื่อมโทรม ผ่านการสัมปทาน ตัดไม้ ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์ จนกลายเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านมาจนทุกวันนี้ ป่าเต็งรังหน้าร้อน ย่ำเดินไปทางใดก็จะมีเสียงใบไม้แห้งกรอบแกรบ ต้นไม้ใหญ่น้อยชูกิ่งก้านขึ้นไปบนท้องฟ้าล้วนแต่ปลิดทิ้งใบไปหมด เพื่อพาตนเองก้าวข้ามความแล้งร้อนไปให้ได้
ท่ามกลางใบไม้สีน้ำตาลแห้งๆ ที่ต้องลมพลิกเบาๆ เราได้เห็นดอกไม้ขนาดจิ๋วกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดินดอกไม้ที่เพ่งดูแล้วจะเป็นเหมือนกระทงเล็กๆ สีเหลืองทองพลิกดูอีกด้านก็คล้ายกระดุมกลมๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ดอกไม้ชนิดนี้คือ “ดอกรัง”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นต้นรังที่แผ่กิ่งก้านหงิกงอดั่งคนที่ผ่านความเจ็บปวดมาไม่น้อย ต้นรังและต้นไม้ในป่าผลัดใบ ตระกูลไม้ยางเหล่านี้ เป็นต้นไม้ที่ควรได้รับความนับถือ เพราะเติบโตขึ้นมานพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดทราย หินแข็งแน่น จนน่าอัศจรรย์ว่า ต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้ ชำแรกรากลงสู่ผืนดิน เดิบโตในฤดูฝนและฤดูหนาว พอเข้าฤดูแล้ง ต้นไม้เหล่านี้จะทิ้งใบแล้วผลิดอกไม้จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลูกไม้ เตรียมตัวเดินทาง โดยวานสายลมพาบินไปไกลๆ
ดอกรังและต้นไม้วงศ์ไม้ยาง มักจะมีลักษณะผลหรือลูกไม้ที่มีปีก พอแก่จัด สายลมฤดูร้อนพัดพรูมาในบำที่โล่งด้วยไม้ไร้ใบ ลูกรังและลูกยางทั้งหลายก็จะปลิวไปตามลมหลายคนอาจเคยสงสัยว่า ลูกไม้มีปีกเหล่านี้บินไปได้ได้ไกลแค่ไหน… ดิฉันเคยเห็นลมฤดูร้อนที่พัดแรงจนลูกยางสองข้างทางริมถนนเชียงใหม่ ปลิวสูงขึ้นไปในท้องฟ้าเต็มไปหมด ดั่งฝูงแมลงปอ ถึงขนาดต้องจอดรถดูลูกยางบินเป็นหมู่ จนหายลับไปจากท้องฟ้าบริเวณนั้น ธรรมชาตินั้นน่าอัศจรรย์จริงๆ

เดินชมดอกไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติ ในบำชุมชนบ้านห้วยสะพานสามัคคีแวดล้อมคณะกรรมการบำชุมชมชน และเด็กๆ ลูกหลานคนในหมู่บ้าน เสียงผู้ใหญ่ชี้ชวนชมดอกไม้และให้ความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ สลับเสียงเด็กๆ ตั้งคำถาม บางทีก็ฟังนิทานเรื่องเล่าเกี่ยวกับป้า มีเสียงหัวเราะและหยอกล้อดังแว่วมา
ที่นี่ทำงานร่วมกับนักวิชาการอย่างเป็นระบบ ความหลากหลายของต้นไม้ กลายเป็นแหล่งศึกษาวิจัย งานวิทยานิพนธ์หลายชิ้นของนักศึกษาสถาบันต่างๆมีชาวบ้านเป็นที่ปรึกษา ช่วยอ่านและตรวจทานความถูกต้องด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน วันนั้นเราได้ชื่นชม ดอกปรู, ดอกพะยอม, ดอกรัง, ดอกแจง หากสัปดาห์นี้ผ่านไปสัปดาห์หน้าเข้าบำ ก็จะเห็นดอกไม้อื่นผลัดเวียนกันเบ่งบาน ดอกไม้เหล่านี้ดอกเล็กๆ มีอายุสั้น บานเพียงสัปดาห์เดียวก็ร่วง แล้วกลายเป็นลูกไม้บำ เพราะเขาต้องช่วงชิงเวลากับความร้อนแรงและฤดูกาล ต้นไม้คงรู้ดีว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร
ผ่านไปไม่ถึงสองเดือน ดอกรังที่เคยร่วงพราวจนพื้นดินกลายเป็นสีเหลืองทอง บัดนี้ดอกไม้กลายเป็นลูกไม้ทั้งร่วงลงใต้ต้น และบินไปไกลกว่าต้นไม้ ผืนดินในป่ารังจึงมีสีแดงอมส้มของปีกและลูกรัง
มีเสียงอุทานว่า “โอ้ นี่ล่ะหรือ คือที่มาของคำว่า ถนนป่าแห่งนี้ เมื่อก่อนเคยมีชื่อว่า “ปารังหนา” คือ เต็มไปด้วยต้นรังนั่นเอง
จากความพยายามของเด็กและชาวบ้าน ของคณะกรรมการบำชุมชน ดิฉันเชื่อว่า การนำดอกไม้ ลูกไม้มาเล่าให้ผู้อ่านฟัง จะทำให้ได้เห็นชะตากรรมของป่าพลังของชาวบ้าน และความร่วมมือของฝ่ายต่างๆ ทั้งนักวิชาการ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่กระตุ้นให้เด็กๆ ทำกิจกรรมเรียนรู้ในป่า ใช้ทรัพยากรที่มีเป็นแหล่งเรียนรู้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ออกสู่ชนบท เพื่อเรียนรู้องค์ความรู้ในท้องถิ่น ในขณะเดียวกัน ชุมชนก็ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชน ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมหลายองค์กร เพื่อดำเนินกิจกรรมนานาชนิด
มาถึงวันนี้ พวกเราล้วนรู้ดีว่า โลกนี้ไม่มีใครหรืออะไรดำรงอยู่ได้โดยลำพัง และสรรพสิ่งสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน ความร่วมมือ เกื้อกูล ช่วยเหลือกันและกัน คือสิ่งที่จะขับเคลื่อนโลกให้ไปข้างหน้าอย่างเป็นมิตรและยั่งยืน ดังที่เห็นป้าชุมชนบ้านหัวยสะพานสามัคคีเป็นตัวอย่าง ป้านี้ ชุมชนนี้ก็นับได้ว่าเป็นสะพานเชื่อมโยงความเข้าใจของเราได้มากเลยทีเดียวค่ะ
