Saturday, October 18, 2025
ภูมิปัญญาไทย เที่ยวไปรักษ์ไป บทความแนะนำ

เกล็ดเกลือในหุบเขา

เรื่อง: กุสโล ภาพ: SIMPLY STUIDO

น่าน เป็นเมืองชายแดนแห่งล้านมาตะวันออกที่บีบนตร์เสน่ห์และมีอัตลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิประเทศที่ถูกโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาสูงของเทือกเขามีปันน่าและหลวงพระบาง ที่เปรียบเสม็อนป้อมปราการธรรมชาติคอยปกป้องเมืองน่านให้ยังคงบริสุทธิ์ตดผ่อง โดยมีแน่บ้าน่านเส้นเลือดที่สำคัญของชาวเมืองน่านหล่อเลี่ยงวิถีขบขนให้เจริญรุ่งเรื่องและเข้มแข็งผ่านกาลเวลาเนินนานนั้นร้อยๆ ปี

ความงดงามและความอุดมสมบูรณ์ของภูมิประเทศดังที่กล่าวมาทาใช่เหตุผลเพียงประการเดียวที่ทำให้เมืองน่านกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต ณ ดินแดนอันไกลโพ้นจากศูนย์กลางความเจริญของอาณาจักรล้านนาแห่งนี้ ยังมีทรัพยากรที่มีค่ายิ่งเป็นที่หมายปองของเจ้าผู้ครองนครทั้งหลาย นั่นก็คือเกลือสินเธาว์ ซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย ในแหล่งน้ำได้ดิน ซึ่งชาวเมืองน่านได้สั่งสมภูมิปัญญาแปรเปลี่ยนน้ำเกลือได้ดินนี้ให้กลายเป็นเกล็ดเกลือขาวสะอาดบริสุทธิ์ กระทั่งทำให้เมืองน่านกลายเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งอาณาจักรล้านนา


ใครที่เคยไปเมืองน่านอาจได้ยินกิตติศัพท์เกลือเมืองน่านกันมาบ้างว่าเป็นเกลือสินเธาว์คุณภาพดีติดอันดับต้นๆ ของโลกเกลือจากอำเภอบ่อเกลือซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดของจังหวัดน่าน มีคุณลักษณะโดดเด่นที่สำคัญ คือเกล็ดเกลือขาวเนียนละเอียด สะอาดบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน รสชาติเค็มกลมกล่อม ไม่เค็มจัดเหมือนเกลือทะเล ชาวบ้านจึงนิยมนำไปดองเมี่ยง ดองผัก ทั้งเอาไว้กินเองในครัวเรือนและทำเป็นอุตสาทกรรมใหญ่ระดับภาค ต่อมาได้มีการส่งเสริมให้เติมไอโอดีนลงในเกลือนี้เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ส่งไปขายทั่วไปในเขตภาคเหนือและภูมิภาคใกล้เคียง


จากบันทึกของ อ. สมเจตน์ วิมลเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเกลือสินเธาว์เมืองน่านว่า จากหลักฐานทางธรณีวิทยาประมาณ ๒๕๐๐ ล้านปี

พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน ต่อมาผิวโลกขยายตัวน้ำทะเลที่เค็มจัดจึงแทรกตัวลงไปทับถมอยู่ใต้พิภพทำให้น้ำใต้ดินกลายเป็นน้ำเกลือที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นเกลือสินเธาว์ซึ่งเป็นภูปัญญาของชาวเมืองที่สืบทอดกันมานานกว่า ๘๐๐ ปี


พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน ต่อมาผิวโลกขยายตัว น้ำทะเลที่เต็มจัดจึงแทรกตัวลงไปทับถมอยู่ใต้พิภพ ทำให้น้ำใต้ดินกลายเป็นน้ำเกลือที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นเกลือสินเธาว์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวเมืองที่ยังคงสืบทอดกันมานานกว่า ๘๐๐ ปี ดังหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามพงศาวดารเมืองน่านซึ่งพระเจ้าสุริยพงษผริตเดช ได้แต่งรวบรวมขึ้น กล่าวถึงแหล่งผลิตเกลือที่สำคัญที่คือเมืองปอ(อำเภอปอเกลือในปัจจุบัน) เป็นสาเหตุให้พระเจ้าลิโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่ยกทัพมายึดเมืองน่าน เมื่อปี พ.ศ. ๔๙๓ ว่าเดิมทีที่ตรงนี้เป็นบำดงพงไพร ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ มีหนองน้ำที่พวกสัตว์ต่างๆ ชอบมากินเป็นประจำ นายพรานผู้หนึ่งสังเกตเห็นจึงลองชิมดูก็รู้ว่ามีรสเค็ม


ต่อมาได้ล่วงรู้ไปถึงเจ้าหลวงภูคาและเจ้าหลวงปอ ทั้งสองเดินทางมาดูปอน้ำเกลือ และต่างก็ต้องการครอบครอง จึงคิดหาวิธีการโดยทั้งสองพระองค์ขึ้นไปอยู่ที่ยอดลอยฏจิ๋นเพื่อแข่งขันกันพุ่งสะเน้า (หอก) แสดงการครอบครองปอน้ำเกลือเจ้าหลวงภูคาพุ่งพอกไปตกทางตะวันตกของลำน้ำมาง (ตรงที่ตั้งทอนอกในปัจจุบัน) ส่วนเจ้าหลวงปอพุ่งทอกไปตกทางตะวันออกของลำน้ำมาง (ตรงที่ตั้งหอเจ้าพ่อบ่อบ่อหลวงในปัจจุบัน) ผู้คนที่พากันมาดูการแข่งขันพุ่งหอก จึงนำเอาก้อนหินมาก่อไว้เป็นที่สังเกต แล้วตั้งเป็นโรงหอสำหรับทำพิธีเพื่อระลึกถึงและตอบแทนเจ้าหลวงทั้งสององค์ทุกปี


จากการปรึกษาของทั้งสองพระองค์ เจ้าหลวงภูคาจึงรับหน้าที่ไปทูลขอประชาชนที่อยู่เมืองเชียงแสนจากเจ้าเมืองเชียงรายมาหักร้างถางพงทำเกลืออยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวบ่อหลวงในปัจจุบันนั่นเอง ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า เดิมทีบรรพบุรุษชาวบ่อเกลือนี้อยู่ที่ประเทศมองโกเลียและประเทศจีน ต่อมาหนีลี้ภัยมาทางแม่น้ำเหลืองเข้าสู่ประเทศสาธาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทางประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไม่อนุญาตให้อาศัยอยู่ได้ จึงพากันข้ามแม่น้ำโขงมาอาศัยอยู่ที่เมืองเชียงแสน

ต่อมาพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๕๒ – พ.ศ. ๒๐๒๓) พระมหากษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังราย (ร่วมรัชสมัยสมเด็จพระบรมใตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา) พระองค์ทรงสร้างความมั่นคงภายในอาณาจักรล้านนาในช่วง ๑๐ (พ.ศ.๑๙๘๘๔-๑๙๔)อาณาจักรจึงมีความเข้มแข็มแข็ง และเพราะเกลือเป็นทรัพยากรที่สำคัญและมีบทบาทต่อชุมชมชนคนร่วมสมัยที่อยู่รอบๆ เมืองน่าน ทั้งรัฐสุโขทัย, ล้านช้าง (ลาว), ล้านนา(เชียงใหม่), เชียงตุง, หลวงพระบาง, สิบสองปันนา รวมถึงจีนตอนใต้ เป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าดิโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่(ล้านนา) เสด็จยกทัพมาตีเมืองน่าน และสามารถยึดได้เมืองน่าน เมืองแพร่ จากนั้นจึงขยายอำนาจลงสู่ทางใต้

บ่อเกลือเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์มีเจ้าคุ้มครอง ใกล้บริทณบ่อเกลือ มีศาลเพียงตาและมีกฎข้อห้ามมากมาย กฎของชาวเกลือคือ ถ้าใครจะขึ้นตักน้ำเกลือก็ต้องเลี้ยงเจ้าก่อน ด้วยไก่ ๑-๒ ตัว เหล้าขาว ๑ ชวดทำพิธีเลี้ยง เลี้ยงเสร็จแล้วถึงขึ้นตักน้ำเกลือได้


ประวัติศาสตร์ในยุครุ่งเรือง ปอเกลือเป็นชุมชนใหญ่ มีบ่อเกลือถึง ๙ บ่อ ปัจจุบันเหลือเพียง ๒ บ่อ คือปอเกลือเหนือ และปอเกลือใต้ ที่ชาวบ้านยังใช้วิธีการต้มเกลือแบบโบราณเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ในโรงเกลือที่ปิดมิดชิดภายในมีเตาขนาดใหญ่ขึ้นรูปจากดินเหนียวสำหรับวางกระทะแขวนตะกร้าไม้ไม่สานใบเล็กๆ ด้านบน เพื่อพักเกลือให้สะเด็ดน้ำจนแห้ง เดินเลี่ยงจากโรงดัมเกลือมาที่ปอดินลึกชันแบบบปอน้ำบาดาล ที่นี่มีน้ำชับรสเค็มที่หล่อเลี้ยงชาวบ้านให้ทำเกลือมานานนับหลายร้อยปี เข้าไปใกล้ปากบ่อมีไม้ขัดทับซ้อนขึ้นเป็นขอบบ่อ และห้างสำหรับตักน้ำเค็ม

ชาวเกลือมีประเพณีเกียวกับเกลือ ราวช่วงเดือนกุมภาพันธ์มีงานบวงสรวงเจ้าหลวง ชาวบ้านจะปิดกั้นไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าออกหมู่บ้านด้วยยานพาหนะทุกชนิดยกเว้นการเดินเท้าเข้ามา ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีเมืองและเจ้ารักษาบ่อเกลือคือ เจ้าซางคำ ซึ่งมีหน้าที่รักษาปากบ่อ เวลาใครมาจะปอเกลือจะเห็นข้อความเขียนเตือนว่าไม่ให้ใครขึ้นเหยียบปากปอเพราะเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์มีเจ้าคุ้มครอง ใกลับริเวณบ่อเกลือ มีศาลเพียงตาและมีกฎข้อห้ามมากมาย


กฏของชาวเกลือคือ ถ้าใครจะขึ้นตักน้ำเกลือ ก็ต้องเลี้ยงเจ้าก่อน ด้วยไก่ ๑-๒ ตัว เหล้าขาว ๑ ขวด ทำพิธีเลี้ยง เลี้ยงเสร็จแล้วถึงขึ้นตักน้ำเกลือได้ (ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า เจ้าซางค์”เป็นทั้งความเชื่อทางด้านถือโชคถือผี ความเคารพ และเป็นกุศโลบายทางด้านความปลอดภัยของบรรพบุรุษ เพื่อให้ผู้ทำหน้าที่ตักน้ำเกลือ ซึ่งต้องยืนบริเวณปากปอที่ลื่นมาก จะต้องมีสมาธิและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก) ชาวบ่อเกลือทำงานกันทุกวันไม่มีวันพยุด ทั้งยังทำงานกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง ถึงขนาดต้องสร้างที่พักไว้ในโรงต้มเกลือด้วย ในแต่ละปีการทำเกลือจะหยุดเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝนน้ำเกลือเจือจาง ไม่สามารถดัมเกลือได้ ชาวบ้านจึงออกไปทำไรไถนา และจะกลับมาทำเกลือต่อเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน


ปอเกลือในปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาเยี่ยมชมวิถีการทำเกลือโบราณ และเลือกซื้อของที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็นเกลือสินเราว์แบบตั้งเดิม เกลือสินเธาว์เติมไอโอดีน หรือเกลือสปา ซึ่งชาวบ้านได้พัฒนาให้เป็นลินค้าชุมชนจนกลายเป็นที่รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว เสน่ห์ของบ่อเกลือคือควันขาวลอยฟุ้ง ปงบอกว่าที่นี่ยังคงกรรมวิธีการต้มตามแบบโบราณ และหากเดินเข้าไปดู เราจะเห็นเตาดินที่ก่อขึ้นอย่างง่ายๆ เกรอะไปด้วยขี้เถ้าผสมเกล็ดเกลือ ด้านบนตั้งกระทะใบบัวขนาดใหญ่ที่มีน้ำเค็มเต็มล้นเดือดพล่าน เหนือกระทะทำสาแหรกแขวนตะกร้าสานซึ่งภายในบรรจุเกลือสีขาวสะอาดเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ทุกขั้นตอนมีชาวเกลือดูแลงานของพวกเขาด้วยความใส่ใจ ในระหว่างการต้มเกลือบางบ้านอาจนำใช่มาต้มในน้ำเกลือด้วย ได้เป็นไข่ต้มเกลือ เมนูแนะนำที่พลาดไม่ได้อีกอย่างของบ้านบ่อเกลือ


ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งเทือกเขาผีปันน้ำและหลวงพระบาง วิถีชีวิตของชาวเกลือ ยังคงเรียบง่ายและงดงามเสมอราวกับกระแสวัฒนธรรมร่วมสมัยของชาวโลกที่มากับภาพและเสียงจากวิทยุ-โทรทัศน์ ไม่อาจเจาะเกราะของวัฒนธรรมชาวเกลือให้สูญสลายลงได้ ชาวบ้านบ่อเกลือยังคงดำเนินชีวิตเนิบช้า และทำการงานของตนอย่างมั่นคง ผ่านทุกดินทุกวันเวลาอย่างมีความสุขเช่นนี้มาเนิ่นนาน

About the Author

Share:

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ