
เวลาคนไทยเดินทางไปต่างประเทศ หลายคนอาจประหลาดใจว่าทำไมถึงเห็นคนพิการเต็มไปหมด ทั้งตามพิพิธภัณฑ์ สถานที่ท่องเที่ยว หรือบนถนนหนทาง แต่แท้จริงแล้วไม่ได้มีคนพิการมากกว่าประเทศไทย เพียงแต่โครงสร้างพื้นฐานและวิธีคิดของสังคมที่นั่นเปิดโอกาสให้พวกเขาออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
“ในบ้านเรา แค่จะเดินทางจากอพาร์ตเมนต์ไปทำงานไม่กี่ร้อยเมตร คนพิการวีลแชร์ยังต้องลงไปบนถนนเสี่ยงอันตราย เพราะฟุตบาทไม่เอื้อ….แม้แต่รถไฟฟ้า ก็ต้องฟ้องร้องกันเป็นสิบปี กว่าจะมีลิฟต์สำหรับคนพิการ” คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ จากมูลนิธิกระจกเงา เล่าบนเวที Sustainability Expo 2025
คุณสมบัติกล่าวว่า คนพิการในไทยยังเผชิญข้อจำกัดตั้งแต่ฟุตบาทที่ไม่มี ไปจนถึงโรงหนังที่ไม่มีทางลาดสำหรับวีลแชร์ แต่สิ่งที่มูลนิธิกำลังทำคือการ “เปิดประตูสู่ประสบการณ์ชีวิต” พาคนพิการออกไปสัมผัสสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา — เที่ยวทะเล ดูหนังในโรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่เล่นเครื่องเล่นทุกชนิดในสวนสนุก ความสุขเล็ก ๆ เหล่านี้คือการยืนยันว่า คนพิการไม่ได้อยากถูกกักขังอยู่กับบ้าน แต่ต้องการมี “ผู้ช่วย” หรือ Personal Assistant (PA) คอยพาออกมาใช้ชีวิต
การพาคนพิการออกไปสัมผัสโลกภายนอกจึงไม่ใช่แค่ทริปท่องเที่ยว แต่เป็นการยืนยันว่า พวกเขามีสิทธิจะใช้ชีวิตเช่นเดียวกับใคร ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพาไปทะเลหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมานานนับสิบปี การพาไปชมท้องฟ้าจำลองสำหรับผู้พิการทางสายตา หรือการเหมาโรงภาพยนตร์เพื่อให้คนตาบอดได้ “ฟังหนัง” อย่างสนุกสนานผ่านการบรรยายสดจากเพื่อนข้าง ๆ
อาสาสมัคร: พลังเงียบที่ทำให้งานเคลื่อน
ทุกกิจกรรมของมูลนิธิกระจกเงาดำเนินไปได้เพราะแรงของอาสาสมัครนับหมื่นคนต่อปี ตั้งแต่การคัดแยกสิ่งของบริจาค ไปจนถึงการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม งานเหล่านี้อาจไม่สวยหรู บางครั้งถึงขั้น “อ้วกแตก” เพราะหนักหน่วง แต่ก็เต็มไปด้วยหัวใจที่อยากแบ่งปัน
คุณสมบัติยอมรับตรง ๆ ว่า หากขาดอาสาสมัคร มูลนิธิก็แทบจะเดินต่อไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังเป็นโจทย์ใหญ่คือ การทำอย่างไรให้อาสาสมัครเหล่านี้ไม่เพียงแค่ “มาช่วยเป็นครั้งคราว” แต่กลายเป็นพลังที่ยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลงสังคม
ธนาคารเวลา: เปลี่ยนการช่วยเหลือเป็นการแลกเปลี่ยน
อีกฟากหนึ่ง คุณชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ กำลังพัฒนาโครงการที่เรียกว่า “ธนาคารเวลา” ระบบที่ให้คนในชุมชนช่วยเหลือกันผ่านการแลก “ชั่วโมงของชีวิต” แทนที่จะใช้เงินเป็นตัวกลาง เช่น ถ้าคุณใช้เวลา 1 ชั่วโมงสอนโยคะ คุณก็จะได้เครดิตเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งสามารถนำไปแลกบริการอื่น ๆ ได้ เช่น ขอให้เพื่อนบ้านช่วยพาไปหาหมอ กวาดถนน หรือแม้แต่ช่วยสอนดนตรี แนวคิดนี้ทำให้ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน เพราะเวลาของทุกคนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร
“มันไม่ใช่การทำบุญ แต่คือการแลกเปลี่ยนบนฐานของความเสมอภาค” คุณชัยฤทธิ์อธิบาย

ความท้าทายของการสร้างความร่วมมือ
แต่การทำงานของธนาคารเวลาไม่ง่ายเสมอไป หลายครั้งคนในชุมชนไม่เข้าร่วมประชุม หรือไม่อยากขอใช้สิทธิ์ เพราะกลัวถูกมองว่ามาใช้ทรัพยากรส่วนกลางมากเกินไป บางคนสะสมเครดิตเวลา แต่เลือกที่จะไม่แลก เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คือเพียงแค่การใช้เวลากับเพื่อน ๆ เท่านั้น
ความท้าทายที่แท้จริงของธนาคารเวลา จึงไม่ใช่แค่การออกแบบระบบ แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกชั่วโมงที่ฝากไว้จะมีคนตอบแทนกลับมาแน่นอน
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณชัยฤทธิ์พบว่า โมเดลของธนาคารเวลาทำงานได้ผลดีในชุมชนต่างจังหวัด ตัวอย่างเช่นในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ แต่ในสังคมเมืองก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในคอนโดมีเนียมซึ่งหากมีระบบธนาคารเวลา จะช่วยให้การอยู่อาศัยมีคุณภาพดีมากขึ้น ตัวอย่างที่พบเห็นคือการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญในเมือง “ชุมชนที่เหมาะกับธนาคารเวลาคือชุมชนขนาดเล็กและจำกัดพื้นที่ มีผู้นำที่เข้มแข็ง และคนมีส่วนร่วมสูง” คุณชัยฤทธิ์ กล่าว

เมื่อสองโลกมาบรรจบกัน
ถ้าเรามองให้เชื่อมโยง จะเห็นว่า มูลนิธิกระจกเงา และ ธนาคารเวลา จริง ๆ แล้วสามารถเสริมกันได้อย่างดี อาสาสมัครที่มาช่วยพาคนพิการออกไปใช้ชีวิต อาจไม่เพียงแต่ได้ความสุขใจ แต่ยัง “ฝากเวลา” ลงในธนาคารไว้ใช้ในอนาคต ในขณะเดียวกัน คนพิการเองก็สามารถฝากเวลาได้เช่นกัน ผ่านทักษะที่พวกเขามี เช่น งานฝีมือ ดนตรี หรือการให้คำแนะนำ เมื่อเป็นแบบนี้ ความช่วยเหลือจะไม่ใช่การให้จาก “ผู้มี” ไปสู่ “ผู้ขาด” แต่กลายเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทุกคนมีค่าเท่ากัน
เวลาคือของขวัญ
เรื่องราวจากคุณสมบัติและคุณชัยฤทธิ์ ทำให้เราเห็นว่า การช่วยเหลือกันไม่จำเป็นต้องหยุดอยู่แค่ “การกุศล” หรือ “การทำบุญ” แต่สามารถพัฒนาไปสู่ระบบที่ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับสิ่งตอบแทนกลับคืน
เพราะสุดท้ายแล้ว “เวลา” คือของขวัญที่เรามีเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ คนทำงาน หรือใครก็ตาม และเมื่อเราเลือกแบ่งเวลาให้กัน เราก็กำลังสร้างสังคมที่เชื่อมโยงด้วยความไว้ใจและความเท่าเทียม
ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเรียนรู้และรับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX2025) ชั้น G ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2458 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)