Saturday, October 18, 2025
ศิลปะ ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

ถวัลย์ ดัชนี ปราชญ์นามอุโฆษผู้รวมโลกมาไว้ในรูป

ภาพวาด ชายหนุ่ม และ หอยสังข์ ที่ ถวัลย์ ดัชนี สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 ด้วยเทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 200 x 248.5 เซนติเมตร

‘…ไม่ใช่เซอร์เรียลิสม์ สายฝรั่ง สายไทยโบราณ
เป็นลักษณะที่เป็นงานเหนือจริง
ตามแบบฉบับของตัวผมเอง…
ในงานของผมจะเห็นได้ว่า
มีเค้าเงื่อนของดาลี มีเค้าเงื่อนของปิกัสโซ
มีไมเคิลแองเจโล, เบนเวนูโต เชลลินี,
โฮเซ่ โอรอสโก, ดิเอโก ริเวรา

แต่ในขณะเดียวกัน
ก็มีอาจารย์นาค, ขรัวอินโข่ง,
พระครูวัดเชิงหวาย,
ฮิโรชิเงะ, โฮกุไซ มีอะไรหมด
เพราะว่าผมอยู่ในโลกเล็ก ๆ ใบนี้
ได้รวบรวมเอาสิ่งเหล่านั้นมาหลอมเข้า
แล้วก็เอามาเป็นตัวของตัวเอง
ให้มีจิตวิญญาณอะไรอยู่ในนั้น…’

       นี่คือคำนิยามต่อผลงานของตนเองที่ถวัลย์ ดัชนี ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนจนผู้รับสารสามารถมโนภาพได้ไม่ยาก และหากจะถอดรหัสว่าศิลปินผู้เป็นตำนานจากหลากเชื้อชาติหลายภาษาเหล่านี้มีเค้าเงื่อนอยู่ในงานจิตรกรรมฝีมือถวัลย์อย่างไร คงไม่มีผลงานชิ้นไหนจะเหมาะเจาะเพื่อใช้วิเคราะห์ไปกว่าภาพชายหนุ่มกับหอยสังข์ ภาพวาดชิ้นสำคัญขนาดมหึมาเนื้อหาครบครันที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี พ.ศ. 2511 ยุคที่ถวัลย์เพิ่งจะเรียนจบ และเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ห้วงเวลาที่เปี่ยมล้นด้วยความประทับใจหลังจากได้สัมผัสผลงานชิ้นจริงของศิลปินทั้งหลายในโลกมาหมาด ๆ 

           จากรั้วโรงเรียนเพาะช่าง สู่คณะจิตรกรรม และประติมากรรมมหาวิทยาลัยศิลปากร ถวัลย์ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาเริ่มมีความสนใจใคร่รู้ในศาสตร์ที่เกี่ยวกับศิลปะแบบไทยโบราณผ่านการคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอารามต่าง ๆ ในวิชา Research of Old Thai Art ก่อน หลังจากนั้นภายใต้หลักสูตรที่ควบคุมการสอนโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถวัลย์ได้เรียนรู้และประทับใจในประวัติศาสตร์ศิลป์ อันรวมถึงลัทธิทางศิลปะจากตะวันตกแบบต่างๆ จนหันมาสร้างสรรค์ผลงานในแนวทางนี้และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เช่นสามารถคัดลอกลายเส้นแนวอคาเดมิคอันละเอียดลออเหนือมนุษย์มนาของ ไมเคิล แองเจโล ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จนได้คะแนน 100+ จากศาสตราจารย์ศิลป์ หรือปาดป้ายทีแปรงอย่างฉวัดเฉวียนมีอารมณ์ในแนวโพสท์อิมเพรสชันนิสม์เฉก เช่น วินเซนต์ แวนโก๊ะ แล้วส่งประกวดคว้ารางวัลชนะเลิศระดับชาติในงานที่จัดขึ้นโดย อ.ส.ท. หรือ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ถวัลย์ยังทดลองสร้างผลงานในแทบทุกแบบทั้ง เอ๊กซ์เพรสชันนิสม์ คิวบิสม์ แอบสแตรคท์ เซอร์เรียลิสม์ 

ถวัลย์ ดัชนี (ภาพจากนิตยสาร STANDARD bangkok magazine ฉบับวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2512)

       เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ถวัลย์ได้ทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านจิตรกรรมฝาผนัง อนุสาวรีย์และผังเมือง ผนวกด้วยปริญญาเอกด้านอภิปรัชญา และสุนทรียศาสตร์ จากราชวิทยาลัยศิลปะ Rijks Akademic van Beeldende Kunsten ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างพำนักอยู่ในต่างประเทศถวัลย์ท่องไปทั่วยุโรปเพื่อตระเวนดูผลงานศิลปะตามพิพิธภัณฑ์ และในเมืองต่างๆซึ่งถูกรวบรวมมาจากทั่วโลก สั่งสมประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าการเห็นเพียงรูปถ่ายมัว ๆ จากตำราเรียน 

       ถวัลย์ให้ความสำคัญในการเปิดโลกทัศน์ทางศิลปะด้วยการได้เห็นผลงานชิ้นจริงเยี่ยงนี้มาก จนครั้งหนึ่งถวัลย์ถึงกับตัดพ้อว่า ช่วงที่อยู่ในปารีสได้พบเจอคนไทยรวม ๆ แล้วราว 600 คนที่เดินทางผ่านมา แล้วก็ผ่านไป แต่ไม่มีใครเลยซักคนที่ถามถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมในปารีสที่น่าชม แต่กลับตามหาแต่คลับคาบาเรต์ หรือร้านน้ำหอม 

       หลังจากนั้นเมื่อถวัลย์อิ่มหนำ ตกผลึกจนแตกฉานกับศาสตร์ตะวันตกแขนงต่าง ๆ  ถวัลย์ตัดสินใจหวนคืนสู่แผ่นดินเกิดในปี พ.ศ. 2511 และหันกลับมาขวนขวายค้นคว้าแนวทางศิลปะแบบตะวันออก ไม่จำกัดจำเพาะแต่ของไทย แต่ยังรวมถึงศิลปะ พม่า อินโดนีเซีย อินเดีย เนปาล ทิเบต อีกทั้งยังศึกษาแนวคิดอภิปรัชญาแบบตะวันออก ทั้งจากวรรณคดี เทพปกรณัม และศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา แบบหินยาน มหายาน และตันตระ 

       ในปีเดียวกันกับที่กลับมาจากต่างประเทศนี้เอง ถวัลย์ผู้พร้อมพรั่งแล้วทั้งฝีมือ ความรู้ และแนวคิด จึงได้สร้างสรรค์ภาพวาดเทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดใหญ่ขึ้นมา ผลงานชิ้นนี้เป็นภาพชายหนุ่มร่างกายเปลือยเปล่าเผยให้เห็นเรือนร่างอันกำยำ มีคนนั่งขดคุดคู้อยู่ในเปลือกหอยสังข์ขนาดใหญ่ท่วมหัว อีกคนเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากหอย แต่ขาข้างหนึ่งยังคงติดอยู่ในเปลือก ส่วนคนที่เด่นสุดคนตรงกลางสลัดเปลือกหอยออกมาได้อย่างหมดจดแล้ว เริ่มออกวิ่ง แหงนหน้า ชูแขนขึ้นฟ้า สูดอากาศจนฉ่ำปอดด้วยความปิติ 

ผลงาน ‘The Persistence of Memory’ โดย ซัลวาดอร์ ดาลี (ภาพจาก
https://www.todayisartday.com/blogs/art-talk/salvador-dalis-persistence-of-memory)

       หากมาวิเคราะห์ภาพชายหนุ่มกับหอยสังข์อย่างลึกซึ้ง จะพบว่ามีส่วนผสมของอิทธิพลอันหลากหลาย ที่ถูกนำมาหลอมรวมกันอย่างลงตัวพอเหมาะพอเจาะ เกิดเป็นผลงานอันเป็นซิกเนเจอร์จากยุคบุกเบิกของถวัลย์ ดัชนี ในภาพเราเห็นรูปแบบของ ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) ศิลปินตัวพ่อแนวเซอร์เรียลิสม์ที่ถวัลย์ยกย่องรวมถึงได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันถึง 3 หนในเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศส อเมริกา และสเปน ผลงานอันเป็นที่จดจำมากที่สุดของดาลีชิ้นหนึ่งคือการถ่ายทอดฉากฝันอันไร้เหตุผลภายในจิตใจออกมาเป็นภาพทิวทัศน์ริมทะเลที่ดูว่างเปล่าอย่างพิลึกพิลั่น จุดเด่นของภาพคือนาฬิกาที่ห้อยย้อยปวกเปียกดุจก้อนชีสที่ค่อย ๆ หลอมละลาย และมีฝูงมดกำลังรุมไต่ตอม รายละเอียดแสนพิศดารของผลงานซึ่งมีชื่อว่า The Persistence of Memory ชิ้นนี้เกี่ยวเนื่องกับภาพวาดของถวัลย์อยู่หลายประการ อาทิเช่น การไม่แยแสต่อขนาดตามธรรมชาติขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กันภายในภาพ ในขณะที่นาฬิกาดาลีมีขนาดเท่าภูเขา หอยสังข์ถวัลย์ก็ตัวใหญ่เท่าคน ฝูงมดของดาลีมีแมลงยักษ์ของถวัลย์มาแทนที่ ส่วนนาฬิกาดาลีที่กำลังละลายอยู่บนกิ่งไม้ นั้นคล้ายร่างชายหนุ่มของถวัลย์ที่ห้อยย้อยพาดอยู่บนหนามแหลมของเปลือกหอย

       อิทธิพลของ ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ผู้บุกเบิกศิลปะแบบคิวบิสม์ หรือ บาศกนิยม ที่สังเคราะห์โครงสร้างตามธรรมชาติให้ออกมาเป็นแท่ง ๆ เป็นเหลี่ยม เป็นสัน ก็สามารถสังเกตได้ในผลงานของถวัลย์ชิ้นนี้ ถึงจะไม่คิวบิสม์เข้าขั้นสุดขนาดแยกส่วนประกอบรอบด้าน ทำให้เป็นเหลี่ยม แล้วนำมาประกอบกันให้อยู่ในระนาบเดียวแบบที่เห็นในงานของปิกัสโซ แต่วิธีการวาดของถวัลย์ที่แยกมัดกล้าม กระดูก ซี่โครง ของผู้คน รวมถึงความคมของเปลือกหอย ให้เป็นช่อง เป็นเหลี่ยม ตัดเส้นแบ่งกรอบเน้นให้เห็นมิติกันชัด ๆ นั้นมีอารมณ์ของคิวบิสม์ผสมอยู่มาก 

       หากพิจารณาดี ๆ ภาพชายหนุ่มกับหอยสังข์ก็มีเค้าเงื่อนของ ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) และเบนเวนูโต เชลลินี (Benvenuto Cellini) อยู่ด้วยจนล้นปรี่ ดูได้จากการเลือกเสนอความงามของสรีระที่เป๊ะปังของร่างกายมนุษย์ให้เป็นจุดโฟกัสหลัก แต่ถึงชายหนุ่มในภาพจะดูแข็งแกร่งกำยำเพียงใด จังหวะท่าทางต่างก็ยังอ่อนช้อยพลิ้วไหว 

       ความใหญ่โตของของผลงานฝีมือถวัลย์ชิ้นนี้ที่มีความสูงท่วมหัว และกว้างล้นกำแพง จัดวางผู้คนในอิริยาบถต่าง ๆ ให้มีเนื้อหาประสานคล้องจองกันนั้นชี้ชวนให้นึกถึงผลงานของ 2 ศิลปินชาวเม็กซิกัน โฮเซ่ โอรอสโก (José Orozco) และ ดิเอโก ริเวรา (Diego Rivera) ผู้ช่ำชองในการสรรค์สร้างภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดมโหฬารที่ทั้งดูงดงาม และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์เพื่อตีความ ซึ่งผลงานที่มีขนาดใหญ่พิเศษใคร ๆ ก็รู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ของภาพให้ลงตัวนั้นยากมาก

       ในขณะที่สไตล์ผลงานของถวัลย์จะดูเป็นตะวันตก แต่เรื่องราวเบื้องลึกนั้นเผยถึงรากเหง้า และคติความเชื่อซึ่งเป็นชาวตะวันออก ถวัลย์ไม่ต่างกับอาจารย์นาค หรือ ขรัวอินโข่ง ซึ่งต้องตีความคำสอนในพระไตรปิฏก ชาดก วรรณคดีโบราณให้ปรากฏเป็นภาพเพื่อเล่าเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อไปยังชนหมู่มาก มุ่งผลเลิศโดยเปิดใจรับอิทธิพลศิลปะแบบใหม่ ๆ นำมาต่อยอดพัฒนาร่วมกับสไตล์แบบดั้งเดิม เกิดเป็นแนวทางศิลปะที่แหวกประเพณีจนต้องเป็นที่จดจำ 

ลวดลายกนกแบบไทยของถวัลย์ ดัชนี ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแมลง และสัตว์ต่างๆ (ภาพจากหนังสือ Forms of Man: The Buddhist Vision of Thawan Duchanee)

       สตอรี่สุดเซอร์เรียลอย่างเรื่องมนุษย์อาศัยในหอยสังข์ แล้วภายหลังเผยตัวออกมาอย่างงามสง่านั้น ถวัลย์น่าจะได้ไอเดียมาจาก สุวรรณสังขชาดก หนึ่งในนิทานชาดก 50 เรื่องที่เรียกว่า ปัญญาสชาดก เล่าถึงพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งยังเสวยชาติเป็นบุคคลต่าง ๆ แฝงไปด้วยศีลธรรมคำสอนแบบแนบเนียนไม่ยัดเยียด และสุวรรณสังขชาดกนี้เอง คือ ต้นกำเนิดของบทละครนอกเรื่อง สังข์ทอง ที่เรา ๆ ท่าน ๆ คุ้นกันมากกว่า

       ในส่วนแรงบันดาลใจจากสกุลช่างครูวัดเชิงหวายสมัยอยุธยา ซึ่งชำนาญเรื่องการผูกลายกนกเครือเถาวัลย์ประดับตู้พระธรรม ที่ประดิดประดอยอ่อนช้อยกว่าใคร มีสิงห์สาราสัตว์ซ้อนเร้น มีลีลาไร้กฎเกณฑ์ไม่ซ้ำกันเกินคะเนสุดแต่จินตนาการของช่าง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นตู้พระธรรมลายรดน้ำปิดทองที่งดงามที่สุด อาจเห็นวี่แววไม่ชัดในภาพชายหนุ่มกับหอยสังข์ แต่ผลงานชิ้นถัด ๆ ไปต่อจากนี้ถวัลย์ได้นำแมลงแบบเดียวกับที่วาดไว้บริเวณด้านล่างของภาพรวมถึงสัตว์อื่น ๆ เพิ่มเติมไปประดิษฐ์เป็นลายกนกเครือเถาวัลย์ซึ่งสุดท้ายได้กลายเป็นลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของถวัลย์เอง 

ผลงาน ‘The Great Wave off Kanagawa’ โดย โฮกุไซ (ภาพจาก https://www.metmuseum.org/art/collection/search/45434)

       ในยุคหนึ่งภาพพิมพ์แกะไม้จากญี่ปุ่นอย่างผลงานในตำนานชุด The Fifty-three Stages of the Tōkaidō ฝีมือ ฮิโรชิเงะ (Hiroshige) หรือชุด The Thirty-Six Views of Mount Fuji โดย โฮกุไซ (Hokusai) ได้รับความนิยมข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงบรรดาชาติตะวันตก ถึงขนาดศิลปินใหญ่ ๆ อย่าง โมเนต์ และแวนโก๊ะ ยังควานหามาสะสม อีกทั้งนำมาใช้เป็นต้นแบบในการสร้างผลงาน จุดเด่นของภาพพิมพ์เหล่านี้คือ องค์ประกอบที่เสริมแต่งเข้าไปให้น่าประทับใจ หรือยิ่งใหญ่เกินธรรมชาติ ดุจฉากละคร ดังตัวอย่างผลงาน The Great Wave off Kanagawa ชิ้นที่โด่งดังที่สุดในชุดซึ่งเป็นภาพคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเข้าใส่เรือประมง นั้นมีพละกำลังความเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับภาพวาดฝีมือถวัลย์ชิ้นนี้มาก ในภาพของโฮกุไซ เกลียวคลื่นที่ใช้เทคนิคตัดเส้นเน้นพลังมวลน้ำ และฟองอากาศกำลังถาโถมจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งของภาพ ในขณะที่ด้านหน้าของภาพให้ความรู้สึกพลุ่งพล่านรุนแรง ฉากหลังซึ่งเป็นภาพวิวภูเขาไฟฟูจิกลับนิ่งสงบ เฉกเช่นภาพชายหนุ่มของถวัลย์ที่ตัดเส้นเน้นมัดกล้ามกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดันเกินมนุษย์ แตกต่างจากองค์ประกอบอื่นในฉากหลังซึ่งยังคงไม่ไหวติง ความคล้ายคลึงอีกประการระหว่างภาพทั้ง 2 คือ โทนสีน้ำเงินที่ใช้ยังใกล้เคียงกันมาก โดยเหตุที่โฮกุไซเลือกใช้สีเฉดนี้เพราะในศตวรรษที่ 19 สมัยยุคเอโดะ ศิลปินญี่ปุ่นกำลังนิยมใช้สีน้ำเงินเฉดใหม่ที่เพิ่งมีการนำเข้าจากยุโรปซึ่งมีชื่อเรียกว่า เบอร์ลิน บลู (Berlin blue) เมื่อนำมาจับคู่กับสีขาวยิ่งลงตัวคลาสสิคเหนือกาลเวลา เหมือนงานกระเบื้องบลูแอนด์ไวท์ที่ไม่มีวันเชย 

       แล้วทำไมต้องเป็นชายหนุ่มกับหอยสังข์? ถวัลย์วาดภาพที่มีองค์ประกอบแปลกประหลาดนี้ขึ้นมาเพื่อจะสื่อถึงอะไร? หากนำผลงานของถวัลย์อีกชิ้นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ขนาดใหญ่โตพอๆกัน และวาดขึ้นในปีพ.ศ. 2511 เช่นเดียวกันมาเปรียบเทียบ ก็จะพบความเชื่อมโยงระหว่างกันอย่างชัดเจน ภาพ Vitruvian Man ที่มีชายหนุ่มแหงนหน้า ชูแขน กางขา นั่งอยู่บนหลังควาย นั้นเปรียบได้ดั่งชีวิตของถวัลย์ที่แตกฉานในศาสตร์จากตะวันตกทุกแขนงแล้ว และกลับมายังบ้านเกิดในชนบทของเชียงรายซึ่งถวัลย์แทนที่ด้วยควาย 

ภาพสเก็ตช์เทคนิคปากกาลูกลื่นบนกระดาษ โดย ถวัลย์ ดัชนี (ภาพจากสูจิบัตร DaRE)

       ความคล้ายของภาพชายหนุ่มกับหอยสังข์นั้น สามารถตีความได้ว่าภาพนี้เกี่ยวเนื่องกับการบรรลุในสรรพวิชาเช่นเดียวกัน ในนิยามของถวัลย์ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นเปรียบได้ดั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ธรรมชาติให้มาอย่างพร้อมพรั่งด้วยสติปัญญา และกำลังวังชา ตรงกันข้ามกับเดียรัจฉานที่โง่เขลาโดยชาติกำเนิด ซึ่งถวัลย์ใช้ภาพแมลงกระชอนที่แอบซ่อนอยู่ใต้ดินทั้งชีวิตเป็นสัญลักษณ์ 

       ส่วนหอยสังข์ของถวัลย์นั้นเป็นเสมือนพื้นที่เพาะบ่มสติปัญญา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีความเชื่อว่าช่วงเวลาหนึ่งสังข์เคยเป็นที่สถิตย์ของคัมภีร์พระเวท บันทึกศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมความรู้ทั้งหมดของศาสนาเอาไว้ ก่อนที่พระนารายณ์จะคว้ากลับคืนไป ทิ้งรอยนิ้วเอาไว้บริเวณปากหอยสังข์ ในภาพของถวัลย์มนุษย์เท่านั้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาให้เลิศล้ำ อุปมาอุปไมยเหมือนกับการได้เข้าไปอยู่ในหอยสังข์ มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึงตัวถวัลย์เองได้หลุดพ้นออกจากเปลือกอย่างสำเร็จสมบูรณ์แล้วเปรียบดั่งผู้ตื่นรู้ มีชายหนุ่มอีกคนเพิ่งไหลตัวออกมาแต่ยังไม่พ้นดี ในขณะที่ชายหนุ่มคนสุดท้ายยังนั่งก้มหน้าก้มตาอุดอู้อยู่ในหอยสังข์โดยไม่มีทีท่าว่าจะทลายพันธนาการออกมา หอยสังข์ในภาพจึงอาจไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชา ถ้าหากมนุษย์ผู้นั้นเลือกทางที่เสื่อมถอย หอยสังข์ก็สามารถเป็นดั่งกะลาที่ขังครอบไว้ไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน 

        

‘ผมได้ความรู้สึกเป็นอิสระ
อย่างไม่มีขอบเขต
ผมรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน
ถ้าปลดตัวเองออกจากความอลหม่าน
ปลิวไปในความเคว้งคว้าง
และอย่างไม่แยแสกับคำติฉิน และครหา
ผมเคยสงสัยตัวเองมาตลอดชีวิต
แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรจะเหลือให้สงสัยอีกแล้ว’


       ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาในปีพ.ศ. 2511 โดยถวัลย์ ดัชนี บุรุษผู้จุติจากสังข์บนฝั่งฝันที่เฝ้าถวิลหา และกำลังออกวิ่งไปอย่างไม่รอช้าจนได้เป็นแถวหน้าของวงการ

About the Author

Share:
Tags: thai artist / thawan duchanee / นิตยสารอนุรักษ์ / ศิลปะร่วมสมัย / anurakmagazine / THAI ARTISTS / ศิลปะ / contemporary artists / ศิลปินแห่งชาติ / ถวัลย์ ดัชนี / จิตรกรรม / ดอกบัว /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ