เรื่อง/ภาพ: ตัวแน่น

หากพากันย้อนวันเวลากลับไปได้ และหลุดเข้าไปในนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของ มณเฑียร บุญมา ที่จัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป หลาย ๆ ท่านคงมีงง เกาหัวแกรก ๆ แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘นี่มันอิหยังหว่า?’ เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผลงานศิลปะแบบสวยสมบูรณ์หมดจดที่คุ้นตา ไม่มีภาพสวรรค์วิมาน ไม่มีภาพเทวดานางฟ้า ไม่มีภาพทิวทัศน์สวนดอกไม้ในกรอบสีทองประดับลายเครือเถาดูทรงคุณค่า
แต่ผลงานที่มณเฑียรนำมาจัดแสดงนั้นกลับฉีกกฎเกณฑ์ และไม่ได้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับ ‘ผลงานศิลปะ’ ในอุดมคติของสาธารณชนไทยเลยแม้แต่น้อย ในนิทรรศการมีผลงานที่มณเฑียรเอาโอ่งมาวางบนพื้น และยึดไว้กับกำแพงแล้วเอาบันไดพาดต่อกัน มีบาตรพระที่จัดเรียงบนหิ้งอย่างเป็นระเบียบ มีเชือกพันกันเป็นรูปเจดีย์ตั้งอยู่บนพื้น มีกระดาษที่พรุนไปทั่วด้วยน้ำตาเทียนไขแปะอยู่บนข้างฝา ข้าง ๆ มีทั้งจอบทั้งเสียมตั้งไว้คู่กับกระดาษสาที่ฉาบด้วยขี้เถ้า ผลงานหลาย ๆ ชิ้นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนมีใครเอาเศษวัสดุมากองทิ้งไว้

สำหรับผู้ที่ไม่ยังไม่รู้จัก มณเฑียร บุญมา หากมาเห็นผลงานเหล่านี้คงมีแอบนึกในใจว่าศิลปินคงวาดภาพไม่เป็นแน่ หรือไม่ก็ตั้งใจจะเล่นตลก ถึงได้เอาอะไรไม่รู้มาตั้งรวม ๆ กันแล้วบอกว่านี่แหละคืองานศิลป์ โดยหารู้ไม่ว่ามณเฑียรนั้นมีฝีไม้ลายมือ และพื้นฐานทางศิลปะแน่นเปรี๊ยะจนมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลถึงระดับโลก
มณเฑียร บุญมา เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 ที่กรุงเทพฯ ช่วงวัยเด็กต้องย้ายตามครอบครัวไปสัมผัสชีวิตชนบทในจังหวัดอุดรธานีอยู่พักใหญ่ กว่าจะได้กลับมาอยู่เมืองหลวงอีกครั้งก็เมื่ออายุย่างเข้า 18 ตอนสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเพาะช่าง มณเฑียรมุ่งมั่นจะเป็นศิลปินให้ได้จนถึงกับป่าวประกาศกับเพื่อน ๆ ว่า ‘หากเราไม่ประสบความสำเร็จเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เราจะฆ่าตัวตาย’ มณเฑียรเรียนเพาะช่างอยู่ 3 ปี และเข้าเรียนต่อที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
มณเฑียรเป็นคนทุ่มเท ทำอะไรจริงจัง สุภาพ ขี้เกรงใจ และเป็นที่รักของเพื่อน ๆ จึงได้รับเลือกให้เป็นประธานนักศึกษาของคณะ หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2521 ได้ไปสอนศิลปะอยู่ที่วิทยาลัยช่างศิลป์อยู่หลายปี จนใน พ.ศ. 2529 มณเฑียรตัดสินใจบวช ก่อนจะสึกออกมาและแต่งงานกับ จันทร์แจ่ม มุกดาประกร ที่รักกันมายาวนานตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรด้วยกัน หลังแต่งงานมณเฑียรเดินทางไปเรียนต่อด้วยทุนของรัฐบาลไทยที่โรงเรียนวิจิตรศิลป์ชั้นสูงแห่งชาติ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จได้ปริญญากลับมาบ้านเกิดในปี พ.ศ. 2531
หลังจากนั้น มณเฑียร เข้ารับราชการเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในขณะที่ครอบครัวยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่ต้องจำใจห่างจากภรรยาสุดที่รักและ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งเกิดใหม่เพราะเคยมีหมอดูทักว่าหากอยู่ใกล้ชิดกันภรรยาจะอายุสั้น แต่ถึงจะพยายามอยู่ไกลกัน ด้วยความคิดถึงทั้งคู่จึงไปมาหาสู่กันเป็นประจำในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่อนิจจาถัดมาเพียงไม่กี่ปีจันทร์แจ่มก็ป่วยด้วยโรคมะเร็งก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2539 เพื่อที่จะกลับมาทำหน้าที่พ่อเลี้ยงเดี่ยวดูแลลูกชายที่ยังเล็ก มณเฑียรย้ายจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเปลี่ยนงานมาเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นตำแหน่งสุดท้าย


หากย้อนดูผลงานศิลปะตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของมณเฑียรจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีแววแหวกแนวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เช่น สมัยตอนเป็นนักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะที่เพื่อน ๆ วาดภาพส่งอาจารย์ มณเฑียรกลับไปต่อโต๊ะโดยใช้หลักเพอร์สเปกทีฟ หรือหลักการวาดที่ทำให้ภาพ 2 มิติดูมีความลึกเหมือน 3 มิติ ซึ่งพอวาดรูปโต๊ะโดยใช้หลักการนี้ก็ดูปกติดี แต่พอมณเทียรต่อโต๊ะขึ้นมาจริงๆเป็น 3 มิติโดยใช้มุมและเส้นสายเดียวกับในภาพวาด โต๊ะที่ต่อออกมากลับเอียงกระเท่เร่ใช้งานไม่ได้ เป็นการพิสูจน์ว่าหลักการเพอร์สเปกทีฟเป็นเพียงการลวงตาในภาพ 2 มิติเท่านั้น หลักการดีทฤษฎีล้ำแต่พอแบกโต๊ะไปส่งอาจารย์ กลับสอบตกเสียอย่างนั้น
ต่อมามณเฑียรได้แรงบันดาลใจใหม่ คราวนี้ว่าจะลองทำศิลปะแบบอีโรติกดูบ้าง แทนที่วาดภาพเปลือย มณเฑียรกลับเอากล้องถ่ายรูปไปถ่ายซอกรักแร้ ซอกเข่า ซอกแขนเพื่อน ถ่ายแบบซูมใกล้ ๆ ให้ดูคล้าย ๆ จะเป็นอวัยวะอื่นที่เป็นจุดซ่อนเร้น ล้างอัดภาพออกมาแล้วระบายสีเพิ่มเติม แต่พออาจารย์เห็นเข้าก็ยังไม่ให้ผ่านอีก มณเฑียรเลยต้องกลับไปสร้างผลงานแบบอื่น คราวนี้ไปนั่งถ่ายภาพในสนามม้า เริ่มถ่ายตั้งแต่ตอนอัฒจันทร์ร้างไม่มีคน บรรจงถ่ายซ้ำ ๆ จากมุมเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ จนคนบนอัฒจันทร์แน่นขนัดเบียดเสียด เมื่อนำภาพไปส่งอาจารย์ผลออกมาก็เหมือนเดิมอีก คือ ไม่ผ่าน มณเฑียรเห็นท่าไม่ดี ขืนจะแหวกแนวต่อไปอีกมีหวังได้ซ้ำชั้นแน่นอน จึงยอมกลับมาวาดภาพส่งอาจารย์เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่วายขอแหวกแนวตามระเบียบ โดยการใช้แอร์บรัชวาดแทนพู่กันซึ่งสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีใครเขาทำกัน จนในที่สุดก็รอดตัวเรียนจบปริญญามาได้
ด้วยความรู้สึกคับข้องใจเหมือนถูกหลักสูตรการสอนของมหาวิทยาลัยบังคับ ผลงานจิตรกรรมชุดที่มณเฑียรวาดตอนเรียนจบจึงเป็นภาพป้ายสัญลักษณ์จราจรที่ห้ามทำอย่างโน้นอย่างนี้ ในมุมมองผ่านรั้วเหล็กที่กั้นขวางห้ามเข้าไป ซ้อนเอาไว้อีกชั้น โดยตั้งชื่อว่า ‘กฎเกณฑ์ของสังคม’ ผลงานชุดนี้ และที่สร้างสรรค์ขึ้นในชุดถัด ๆ มาแสดงให้เห็นฝีไม้ลายมือของมณเฑียรในด้านจิตรกรรมได้อย่างดีเยี่ยม แต่สาเหตุที่มณเฑียรหันเหออกจากการวาดภาพแบบเดิม ๆ แล้วริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบใหม่เพราะมณเฑียรมองว่าผ้าใบ กระดาษ และสีที่ใช้นั้นเปรียบเสมือนกรอบที่ครอบจำกัดจินตนาการเอาไว้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผลงานของ มณเฑียร บุญมา ก็ยิ่งมีความแปลกใหม่ ลึกล้ำขึ้นไปเป็นลำดับ โดยใช้เทคนิคสื่อผสมทดลองนำวัสดุต่าง ๆ มาประกอบกันเพื่อสร้างเป็นผลงาน มณเฑียรเลือกเอาวัสดุอุปกรณ์ง่าย ๆ แบบไทย ๆ ที่อยู่รอบ ตัวเรา เช่น ปูน กระสอบ สุ่มไก่ ถังปูน ลังไม้ ฟาง เครื่องปั้นดินเผา เขาควาย มาสร้างเป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนแง่มุมต่าง ๆ ในสังคมอย่างชาญฉลาด จนกลายเป็นศิลปินคนแรก ๆ ในประเทศไทยที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแนวคอนเซ็ปชวล (Conceptual art) อันให้ความสำคัญกับกระบวนการตกผลึกทางความคิดมากกว่าความงามตามขนบนิยม


มณเฑียรยังมองว่าสิ่งที่ดูปกติธรรมดาซึ่งอยู่รายรอบวิถีชีวิตคนไทยนั้นสามารถแสดงถึงรากเหง้า และจิตวิญญาณของเราได้ชัดเจนตรงไปตรงมามากกว่าสิ่งใด มณเฑียรจึงเลือกใช้เฉพาะวัสดุราคาไม่แพงที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และหลีกเลี่ยงวัสดุตามจารีตที่วัฒนธรรมตะวันตกให้มูลค่าอย่าง สีน้ำมัน ผ้าใบ หินอ่อน บรอนซ์ เหมือนเป็นการขบถต่อต้านระบบบริโภคนิยมซึ่งมาพร้อมกับความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ แนวความคิดนี้สอดคล้องความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่เรียกว่า อาร์เต้ โพเวร่า (Arte Povera) หรือ ศิลปะสมถะ
เราสามารถเห็นเทคนิค และแนวทางทั้งหมดนี้ได้ในผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งซึ่งมณเฑียรสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2534 และตั้งชื่อไว้อย่างไม่ซับซ้อนว่า ‘โอ่งและรอยเท้า’ หรือ ‘Pots and Footprints’ ซึ่งภายหลังได้ถูกนำมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ในปีพ.ศ. 2536 ผลงานชิ้นนี้มณเฑียรนำเอาดินเม็ดหยาบๆสีเทาเข้ม สีแดงอิฐ รวมถึงผงถ่านสีดำ มาผสมแทนสี แล้วฉาบลงบนวัสดุ หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องมือปลายแหลมขูดให้เป็นภาพโอ่งที่มีรูปร่างต่างกัน 3 ใบ โอ่งใบหนึ่งไม่มีฝาปิด ส่วนโอ่งอีก 2 ใบมีหมวกงอบของชาวนาปิดแทนฝาไว้ โดยมณเฑียรเลือกใช้เพียงเส้นร่างง่ายๆแสดงเพียงรูปทรงของสิ่งที่ต้องการสื่อถึง ไม่มีแสงเงา ไม่มีลวดลาย บริเวณพื้นที่บรรยากาศรอบๆภายนอกโอ่งมณเฑียรขูดขีดด้วยรอยกรีดเล็กๆให้ดูซับซ้อนวุ่นวายแตกต่างจากความเรียบนิ่งภายใน และในขณะที่ผงดิน ผงถ่านที่ฉาบลงไปยังหมาดๆมณเฑียรได้ประทับรอยเท้าของตนเองลงบนพื้นที่ว่างเปล่าในโอ่งทั้ง 3 ใบเอาไว้อย่างมีนัยยะ
มณเฑียรไม่ได้แค่ต้องการวาดภาพโอ่งแล้วเอาเท้าเหยียบให้คนดูงงเล่นแน่ๆ แต่สิ่งที่มณเฑียรต้องการจะสื่อนั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น นอกจากเรื่องศิลปะแล้ว ศาสตร์อีกแขนงที่มณเฑียรสนใจศึกษาจนแตกฉานคือปรัชญาทางพุทธศาสนา มณเฑียรมีความเลื่อมใสในคำสอนของ หลวงพ่อชา สุภัทโท และหลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ มาก ในขณะเดียวกันมณเฑียรก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอว่าผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากแรงศรัทธานั้นไม่ใช่พุทธศิลป์ แต่เป็นผลงานที่สื่อถึงสัจธรรมในธรรมชาติ ที่ล้วนเกิดขึ้นเป็นปกติไม่แบ่งเชื้อชาติ ไม่แบ่งศาสนา
ภาชนะแสนจะธรรมดาอย่าง โอ่ง จากมุมมองของมณเฑียรมีความหมายหลากหลาย มุมหนึ่งเปรียบดั่งภาชนะที่เก็บสิ่งอันมีคุณค่าสูงส่ง เช่นในสมัยโบราณพระธาตุจะถูกบรรจุไว้ในโอ่งดินเผาก่อนจะนำเข้าไปประดิษฐานในเจดีย์ อีกมุมหนึ่งโอ่งก็สามารถอุปมาอุปไมยให้เป็นเสมือนพื้นที่ปลอดภัย ให้ใจได้พักพิง เพื่อหลีกหนีจากสิ่งวุ่นวายภายนอก ดังที่มณเฑียรเคยกล่าวไว้ว่า
‘I think about the space in the bowl. I prefer to be in this space which for me separates from the outside-world. So I would like to place my mind inside the bowl.’
รอยเท้าในพื้นที่ว่างใจกลางโอ่งจึงน่าจะสื่อถึงตัวตนของมณเฑียรผู้มองหาที่หลบให้จิตสงบ ในห้วงเวลาขณะโรคร้ายกำลังย่างกรายไปสู่คนใกล้ชิด

ในขณะที่ชีวิตส่วนตัวของมณเฑียรกำลังพบเจอกับอุปสรรคที่ไม่มีทางออก แต่ในเรื่องการงานนั้นทุกอย่างผ่านฉลุย ณ ห้วงเวลาเดียวกันชื่อเสียงของมณเฑียรในฐานะศิลปินหัวก้าวหน้าจากตะวันออกกลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ มณเฑียรถูกเชื้อเชิญให้ไปแสดงผลงานทั้งแบบแสดงเดี่ยวและแบบกลุ่มเคียงบ่าเคียงไหล่กับศิลปินเบอร์ต้น ๆ ของโลก ผลงานของมณเฑียรได้ไปเฉิดฉายที่ เกาหลี ญี่ปุ่น บราชิล เยอรมนี สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส ออสเตรีย ออสเตรเลีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา คิวบา แคนาดา อินเดีย ไต้หวัน อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย จนพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าในยุคนั้น มณเฑียร บุญมา เป็นศิลปินไทยที่ล้ำหน้าที่สุด โกอินเตอร์ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่วงการศิลปะสมัยใหม่ในบ้านเราเคยมีมา
ในช่วงที่อาชีพศิลปินของมณเฑียรกำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง มณเฑียรเริ่มรู้สึกวูบ ๆ และเป็นลมหมดสติอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็คิดไปเองว่าคงไม่เป็นอะไร น่าจะเป็นแค่เพียงผลพวงจากการตรากตรำทำงานหนัก แต่นานวันเข้าอาการกลับไม่ทุเลา จนแพทย์ตรวจพบว่าสาเหตุเกิดจากโรคมะเร็งขั้นลุกลาม ในที่สุดมณเฑียรก็เสียชีวิตตามภรรยาสุดที่รักไปด้วยโรคเดียวกันในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ในวัย 47 ปี

โอ่ง ในทัศนะของมณเฑียรยังมีอีกหนึ่งความหมายที่เตือนใจ เพราะต่อให้โอ่งซึ่งเปรียบเสมือนสังขารจะสามารถเข้มแข็งจนใช้เป็นที่พักใจให้สงบสุขได้ แต่วันใดวันหนึ่งทุกสรรพสิ่งต่อให้แกร่งกล้าหรือยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ย่อมล้วนดับไป ดั่งประโยคที่มณเฑียรเลือกนำมาประกอบสูจิบัตร นิทรรศการ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เมื่อ พ.ศ. 2536 ในหน้าสุดท้าย เป็นประโยคสุดท้ายว่า
‘The lives of sentients being are like the clay-pots which are destined to break sooner or later’ ‘ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความสลายเป็นที่สุด’
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากมณเฑียรได้มีเวลาผลิตผลงานให้ชาวโลกได้ตื่นตะลึงต่ออีกนาน ๆ ป่านนี้ชื่อ มณเฑียร บุญมา น่าจะลือเลื่องขึ้นอีกจนต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ศิลปะของโลกก็เป็นได้
เหมือนวัฏสงสารจะทำหน้าที่ของมันเร็วเกินไป