Saturday, October 18, 2025
ศิลปะ ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

ราชทูตดูดวิญญาณของ ฌอง-เลออง เฌโรม ที่เพิ่งเผยโฉม

‘ฌอง-เลออง เฌโรม’ ราวพ.ศ. 2404 เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 10 x 6 เซนติเมตร ศิลปิน เฟลิกซ์ นาดาร์

‘ศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลก’

คือ นิยามที่ ฌอง-เลออง เฌโรม (Jean-Léon Gérôme) จิตรกร และประติมากรชาวฝรั่งเศสถูกสาธารณชนขนานนามเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยในปีพ.ศ. 2404  เฌโรมได้จรดปากกาเขียนจดหมายถึง เฟลิกซ์ นาดาร์ (Félix Nadar) ช่างภาพมือหนึ่งแห่งกรุงปารีส โดยเนื้อหาในจดหมายมีใจความว่า

‘นาดาร์ที่รัก ชาวสยามว่างวันพุธ คุณสะดวกหรือไม่ที่จะให้พวกเขาไปวันนั้นตอนบ่าย คุณว่างหรือไม่ หากคุณว่างช่วยแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วย และกรุณาให้ที่อยู่ของร้านคุณที่ถนนชองเซลิเซส์’

ผลงานของเฌโรมที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางคือ ภาพวาดแนว ศิลปะสถาบัน (Academic art) โดยได้รับอิทธิพลจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส (Académie des beaux-arts) ผลงานสไตล์นี้ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดความงามในแบบอุดมคติ ซึ่งเฌโรมสามารถสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างวิเศษ แถมยังต่อยอดไปยังผลงานที่แสดงถึงผู้คนต่างเชื้อชาติ ฉากแปลกประหลาดในต่างแดนอันชวนฝัน และคตินิยมแบบตะวันออก (Orientalist art) อันได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่เฌโรมได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศในแถบตะวันออกกลาง และเอเชียอยู่บ่อยครั้ง

ในขณะเดียวกันนาดาร์ก็นับเป็นผู้นำในการบุกเบิกเทคนิคการถ่ายภาพ เช่น เป็นช่างภาพคนแรกที่สามารถถ่ายภาพทางอากาศได้โดยอาศัยบอลลูน และเป็นผู้ริเริ่มใช้แสงไฟสังเคราะห์ในการถ่ายภาพในสถานที่ที่ไม่มีแสงธรรมชาติ อีกทั้งผลงานภาพถ่ายบุคคลของนาดาร์ยังถูกยกให้เป็นงานศิลป์ แตกต่างห่างไกลจากภาพถ่ายธรรมดาด้วยอารมณ์ ท่าทาง และองค์ประกอบของภาพอันเป็นเอกลักษณ์

แล้วศิลปินฝรั่งชื่อดังระดับอินเตอร์เบอร์นี้มีอะไร ทำไมถึงต้องเขียนจดหมายนัดแนะกันเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะเจอชาวสยาม ชนชาติจากต่างวัฒนธรรมต่างภาษาที่อยู่กันคนละซีกโลก และไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันกับเฌโรม และนาดาร์เลยแม้แต่น้อย

‘เฟลิกซ์ นาดาร์‘ ราวพ.ศ. 2404 เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 10 x 6 เซนติเมตร ศิลปิน เฟลิกซ์ นาดาร์

เพื่ออธิบายเหตุผล ก่อนอื่นต้องขอย้อนกลับไปยังปี พ.ศ. 2229 ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นได้มีการส่งคณะราชทูตที่นำโดย เจ้าพระยาโกษาธิบดี หรือ โกษาปาน เดินทางข้ามครึ่งค่อนโลกเพื่อไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฝรั่งเศส

และแล้วหลังจากห่างหายกันไปเป็นระยะเวลายาวนานเกือบ 2 ศตวรรษ คณะราชทูตสยามก็ได้เดินทางมายังประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งและในปี พ.ศ. 2404 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คณะทูตซึ่งนำโดย เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ หรือ แพ บุนนาค เป็นราชทูต เจ้าหมื่นไวยวรนารถ หรือ วร  บุนนาค เป็นอุปทูต พระณรงค์วิชิต หรือ จอน  บุนนาค เป็นตรีทูต ได้ทำหน้าที่อัญเชิญพระราชสาส์น และเครื่องมงคลราชบรรณาการอันสำคัญยิ่งเช่น พระมหามงกุฎ พระสังวาล พระธำมรงค์ ฉลองพระองค์ สังข์อุตราวัฏ พาน ขันน้ำ ถ้วย ถาด ซองบุหรี่ หีบ อาวุธ ฯลฯ ซึ่งล้วนสร้างขึ้นอย่างปราณีตพิถีพิถันด้วยทองคำ และอัญมณีล้ำค่า เพื่อมาถวายแด่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (Napoleon III) ณ พระราชวังฟงแตนโบล (Château de Fontainebleau)

การมาเยือนคราวนี้จึงถือเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ในด้านการทูตระหว่างโลกตะวันตก และโลกตะวันออก จากมุมของฝรั่งเศสเองยังเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิในฐานะมหาอำนาจ  เพราะฉะนั้นเหตุการณ์นี้จึงจำเป็นจะต้องมีการบันทึกไว้ และเผยแพร่ออกไปให้โลกรู้อย่างอลังการสมฐานะ 

ในยุคที่ภาพถ่ายยังไม่มีสี และยังไม่มีเทคโนโลยีล้างอัดภาพให้มีขนาดใหญ่ วิธีการที่ดีที่สุดในการถ่ายทอดภาพความมลังเมลืองของทั้งบรรยากาศ และบุคคลในเหตุการณ์คือการวาดขึ้นมาโดยผู้ชำนาญการ แต่ทางเลือกนี้ก็เป็นวิธีที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้เวลารวมถึงค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเช่นกัน สำหรับแผนกงานศิลปะของพระราชวังที่มีงบประมาณมหาศาลจนแทบจะไม่มีลิมิตแล้ว ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้มารังสรรค์ภาพวาดแห่งประวัติศาสตร์ภาพนี้ย่อมต้องเป็นจิตรกรที่เก่งกาจที่สุด ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือ ฌอง-เลออง เฌโรม นั่นเอง โดยการว่าจ้างในครั้งนั้นเฌโรมได้รับค่าตอบแทนไปเหนาะๆถึง 20,000 ฟรังก์ พอๆกับราคาบ้านทั้งหลัง

ภาพ ‘The reception of  the Siamese ambassadors at fontaienbleau’ โดย ฌอง-เลออง เฌโรม (ภาพจาก https://commons.m.wikimedia.org/wiki/Category:Reception_of_the_Siamese_ambassadors_by_the_Emperor_Napoleon_III_at_the_Palace_of_Fontainebleau)

เพื่อวาดภาพให้ถูกต้องสมจริง เฌโรมเริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆอย่างละเอียดถึง 2 ปี จึงเริ่มลงมือวาดเมื่อพ.ศ. 2406 และในอีก 1 ปีต่อมาผลงานจิตรกรรมชื่อว่า ‘ Réception des ambassadeurs du Siam à Fontainebleau ‘ หรือ ‘ The reception of  the Siamese ambassadors at fontaienbleau ‘ เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบชิ้นนี้จึงแล้วเสร็จ เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2404 ณ พระราชวังฟงแตนโบล ขณะที่เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ซึ่งเป็นราชทูตในท่าหมอบคลาน กำลังทูลเกล้าฯถวายพระราชสาส์นบนพานทองคำแด่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์เคียงคู่กับพระชายา จักรพรรดินีเออเฌนี เดอ มอนตีโค (Eugénie de Montijo) และมีพระราชกุมารประทับยืนอยู่ข้างๆ ในภาพเฌโรมยังได้วาดบุคคลท่านอื่นๆรายล้อมไว้อีกมากมายจำนวนหลายสิบท่าน ซึ่งประกอบไปด้วยคณะราชทูต พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง นายทหาร นางสนองพระโอษฐ์ ศิลปิน โดยบุคคลทั้งหมดล้วนถูกวาดให้เหมือนตัวจริงจนบอกได้ว่าใครเป็นใคร อีกทั้งเฌโรมก็ไม่ลืมที่จะวาดภาพเหมือนตนเองยืนร่วมเฟรมเอาไว้อีกด้วย 

ผลงานชิ้นนี้ถึงจะเป็นการถ่ายทอดภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่เฌโรมก็ไม่ได้ใส่รายละเอียดทั้งหมดลงไปแบบเป๊ะๆ ศิลปินได้มีการปรับเปลี่ยน เสริมเติมแต่งเพื่อความสวยงามครบครันของภาพ ที่สำคัญคือต้องสามารถถ่ายทอดความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 ซึ่งสถาปนาขึ้นมาโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ให้ได้มากที่สุด และก็เป็นไปตามคาด เมื่อภาพวาดแห่งประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ถูกนำไปจัดแสดงไว้ที่ห้องรับรองในพระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles) ก็กลายเป็นจุดสนใจ และโจษขานกันอย่างกว้างขวางในวงสังคมจนถึงกับต้องจัดคิวให้เข้าชมเป็นรอบๆเพื่อไม่ให้ผู้คนแออัด 

ด้วยความสำคัญของเนื้อหา ในเวลาต่อมาผลงาน The reception of  the Siamese ambassadors at fontaienbleau ฝีมือเฌโรมภาพนี้ยังถูกดำริโดยราชสำนักฝรั่งเศสให้จิตรกรอีกท่านนั่นก็คือ ฌอง มาริอุส ฟูเก (Jean Marius Fouque) วาดจำลองขึ้นมาให้เหมือนภาพต้นฉบับเพื่อส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาถวายสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยผลงานชิ้นนี้ได้ถูกจัดแสดงไว้ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

ภาพวาดจำลอง ‘The reception of  the Siamese ambassadors at fontaienbleau’ โดย ฌอง มาริอุส ฟูเก (ภาพจากหนังสือจิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราขสำนัก)


ปัจจุบันมีหลักฐานบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่อันแสดงถึงความตั้งใจของเฌโรมในการเก็บรายละเอียดจากคณะราชทูตสยามขณะพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสให้สมบูรณ์ที่สุดเพื่อบรรลุงานหลวงที่ได้รับมอบหมาย ดังเช่นชุดภาพถ่ายคณะราชทูตแต่งกายเต็มยศ ซึ่งมีทั้งภาพถ่ายแบบเป็นกลุ่ม และภาพถ่ายเดี่ยวในอิริยาบทต่างๆจากสตูดิโอของนาดาร์ตามข้อความนัดแนะที่พบในจดหมาย 

และจากข้อจำกัดของเทคโนโลยีการถ่ายภาพในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เพื่อบันทึกสีสันของผิวพรรณ และเครื่องแต่งกายให้ได้อย่างครบครัน เฌโรมจึงจำเป็นต้องเชื้อเชิญคณะราชทูตตัวจริงให้นั่งเป็นแบบเพื่อวาดภาพอย่างละเอียดด้วยเทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบที่เฌโรมช่ำชอง ผลงานจิตรกรรมภาพคณะราชทูตจึงไม่ได้มีแต่ภาพ The reception of  the Siamese ambassadors at fontaienbleau อันโด่งดังในคอลเลคชั่นของพระราชวังแวร์ซายส์เท่านั้น แต่ยังมีภาพวาดฝีมือเฌโรมที่สาธารณชนยังไม่คุ้นตาแต่ทรงคุณค่ายิ่งอีกจำนวนหนึ่งตามจดหมายเหตุที่ พระณรงค์วิชิต ตรีทูตผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้บันทึกไว้ว่า 

‘วันศุกร์เดือน ๘ ขึ้น ๑๔ ค่ำเวลาเช้า มองติคนีพาช่างเขียนถ่ายรูปมาที่โฮเต็ล มองติคนีบอกว่ามีรับสมเด็จพระเจ้าแอมเปอเรอให้พาช่างมาขอให้ทูตแต่งตัวอย่างไทย จะให้ช่างถ่ายรูปไว้สำหรับแผ่นดิน ในเวลานั้นช่างได้ถ่ายรูปราชทูต รูปนายสรรพวิชัย ๒ คนแผ่นหนึ่ง รูปอุปทูต รูปนายชาย ๒ คนแผ่นหนึ่ง ตรีทูตแผ่นหนึ่ง หลวงอินทรมนตรี แผ่นหนึ่ง ขุนมหาสิทธิโวหารแผ่นหนึ่ง รวม ๕ แผ่น แล้วเขียนประสานให้สีเหมือนสีตัวด้วย’

‘คณะราชทูตสยาม‘ พ.ศ. 2404 เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 6 x 10 เซนติเมตร ศิลปิน เฟลิกซ์ นาดาร์

ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าจากชาวสยามในคณะราชทูตจำนวนทั้งหมด 28 ท่าน ในการพบปะกันครั้งนั้นมีอย่างน้อย 7 รายนามที่ระบุไว้ในจดหมายเหตุว่าถูกถ่ายภาพและ ‘เขียนประสานให้สีเหมือนสีตัว’ ซึ่งหมายความว่าถูกวาดภาพเหมือนด้วยสี อันประกอบไปด้วย 

ราชทูต หรือ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ 

นายสรรพวิชัย 

อุปทูต หรือ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ 

นายชาย 

ตรีทูต หรือ พระณรงค์วิชิต 

หลวงอินทรมนตรี 

ขุนมหาสิทธิโวหาร 

ภาพเหมือนบุคคลในคณะราชทูตที่วาดขึ้นมาด้วยสีแบบแยกเป็นรายบุคคลไม่ได้ตกเป็นสมบัติของราชสำนักฝรั่งเศสตั้งแต่แรก ด้วยชื่อเสียง และความนิยมต่อผลงานของเฌโรม ในห้วงเวลาเกือบ 2 ศตวรรษที่ผ่านมาผลงานเหล่านี้จึงมีการซื้อขาย ประมูล เปลี่ยนมือกระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ รวมถึงคอลเลคชั่นสำคัญทั้งในยุโรป และอเมริกา โดยภาพแทบทั้งหมดได้ถูกค้นพบแล้ว และมีขัอมูลรวบรวมไว้ในหนังสือที่ตีพิมพ์โดยพระราชวังฟงแตนโบล คงเหลือแต่ภาพวาดบุคคลสำคัญที่สุดในคณะ 3 ท่านนั่นก็คือ ราชทูต อุปทูต และตรีทูต ที่สาธารณชนยังไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าถูกเก็บรักษาไว้ ณ แห่งหนใด หรืออาจจะสูญสลายหายไปกับกาลเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เป็นได้

‘อุปทูต‘ หรือ ’เจ้าหมื่นไวยวรนารถ’ พ.ศ. 2404 เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 17.5 x 12 เซนติเมตร ศิลปิน ฌอง-เลออง เฌโรม

และแล้วเมื่อไม่นานมานี้ก็เกิดมีปาฏิหาริย์ เพราะหลังจากเวลาผ่านไปร้อยกว่าปี ภาพบุคคลที่เคยขาดหาย และหายากยิ่งไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร ก็ได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สายตาชาวโลกพร้อมๆกันในคราวเดียวถึง 2 ภาพ โดยภาพดังกล่าวคือภาพ อุปทูต หรือ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ และ ตรีทูต หรือ พระณรงค์วิชิต ที่ถูกค้นพบจากคอลเลคชั่นส่วนตัวของนักสะสมศิลปะชื่อดังชาวสวิตเซอร์แลนด์ 

ผลงานจิตรกรรมทั้ง 2 ภาพนี้ถ้าหากใครได้ยลจะคลายสงสัยในทันใด ว่าทำไมในสมัยที่ยังมีลมหายใจเฌโรมถึงกับถูกยกย่องให้เป็นศิลปินที่โด่งดังที่สุดในโลก เพราะขนาดภาพ ‘เขียนประสานให้สีเหมือนตัว’ ที่ต้องวาด และระบายสีอย่างรวดเร็วจากบุคคลสำคัญตัวจริงที่ยินยอมมานั่งให้เป็นแบบในเวลาจำกัด นั้นยังมีชีวิตชีวา สมบูรณ์แบบด้วยรายละเอียด จนไม่เกินเลยที่จะเอ่ยว่าช่างเหมือนตัวจริงซะยิ่งกว่าภาพถ่าย 

รายละเอียดหน้าผาก โหนกคิ้ว เบ้าตา แก้ม สันจมูก ใบหู ริมฝีปาก ไล่เรียงมาจนถึงคาง ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์แบบไม่มีที่ติ การจะวาดภาพในระดับนี้ศิลปินต้องแตกฉานในเรื่องลักษณะกระโหลก และโครงกระดูกก่อน จึงถึงสามารถวาดเนื้อหนังมาห่อหุ้มอย่างกลมกลืนได้ หากเปรียบเทียบ 2 ภาพนี้เรายังรู้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง อุปทูต ที่มีร่างผอมบาง และตรีทูตซึ่งเจ้าเนื้อกว่าจากเพียงแค่ภาพวาดใบหน้ากับความปูดโปนของกระดูกที่ต่างกัน

ในเรื่องผิวพรรณของบุคคลทั้ง 2 เฌโรมบรรจงผสานสีสันให้แสดงถึงเฉดสีผิวที่ออกคล้ำของชาวสยาม และยังจัดแสงให้ตกกระทบเผยถึงความมันบนใบหน้าอันเป็นธรรมชาติ จนผู้ชมสามารถรู้สึกถึงผิวสัมผัส ความหยุ่น ความนุ่มของเนื้อได้ ส่วนผม หนวดเครา เฌโรมใช้พู่กันเบอร์เล็กสุดดุจปลายเข็ม ตวัดจัดทรงจนแทบจะกระดุกกระดิกได้ยามต้องลม ในขณะที่ใบหน้าส่วนอื่นๆก็ใช้พู่กันเกลี่ยจนนวลเนียนไม่เห็นแม้แต่ทีแปรง จนดูเผินๆแทบไม่คิดว่านี่คือภาพวาด 

‘ตรีทูต‘ หรือ ’พระณรงค์วิชิต‘ พ.ศ. 2404 เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 17.5 x 12 เซนติเมตร ศิลปิน ฌอง-เลออง เฌโรม

สำหรับศิลปินมือฉมังอย่างเฌโรมนอกจากความสมจริงแล้ว อารมณ์ของบุคคลซึ่งบางครั้งก็ซับซ้อนเหลือคณานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องถ่ายทอดออกมาในผลงานจิตรกรรมให้ได้ ภายใต้ใบหน้าอันเคร่งขรึมแลดูเป็นทางการของอุปทูต และตรีทูต ภาพบุคคลทั้ง 2 นั้นยังแฝงไปด้วยความปิติสุขจากการที่ได้เดินทางไกลมายังดินแดนอันรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่เจริญหูเจริญตา ถึงมางานราชการแต่ก็เหมือนได้เที่ยวไปในตัว เนื่องจากตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่มาพำนักต่างถิ่นในฐานะแขกของราชสำนัก ทางฝรั่งเศสดูแลต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ มีทั้งพาชมเมือง ล่องเรือ ทัวร์วัง เที่ยวพิพิธภัณฑ์ แวะสวนสัตว์ เลี้ยงอาหาร ดูละคร อีกทั้งผู้ร่วมคณะต่างก็รักใคร่คุ้นเคยกันดี เพราะแทบทุกท่านมาจากสายสกุลบุนนาค นับเป็นญาติสนิทชิดเชื้อกันหมด 

จากอีกมุมมองหนึ่ง ในเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยใหม่ของไทย ผลงานของเฌโรมชุดนี้ยังนับเป็นภาพวาดชาวสยามจากแบบจริงภาพแรกๆในโลก เพราะตั้งแต่โบราณกาลบรรพบุรุษของเราเคยมีความเชื่อว่าการถูกถ่ายภาพ หรือวาดภาพนั้นเหมือนเป็นการดูดวิญญาณ และอาจมีใครนำภาพไปใช้ทำคุณไสย จึงไม่มีใครยอมโดนถ่ายภาพ หรือวาดภาพกัน จนในสมัยรัชกาลที่ 4 ยุคของคณะราชทูตนี่เองที่ความเชื่อเทือกนี้ถึงค่อยๆมลายหายไป

แต่ส่วนตัวเราเมื่อได้สัมผัสแววตาอุปทูต และตรีทูตในภาพวาดฝีมือเฌโรมที่ดูสมจริงยิ่งกว่ามีชีวิต ต้องขอศิโรราบยอมรับจากใจเลยว่าอานุภาพการดูดวิญญาณของผลงานจิตรกรรมชั้นสูงนั้นคงไม่ใช่แค่ความเชื่อล้าหลังเสียแล้ว เพราะห้วงเวลานั้นเรารู้สึกราวกับอยู่ในภวังค์ที่พาย้อนเวลาไปยังโรงแรมแสนแฟนซีในกรุงปารีส ไปอยู่ข้างๆขาตั้งภาพของเฌโรมผู้กำลังบันทึกทุกๆรายละเอียดของชาวสยามผ่านปลายพู่กัน และแค่เพียงไม่กี่อึดใจภาพวาดก็เสร็จสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ ปลดปล่อยจิตวิญญาณของเราให้กลับมายังโลกปัจจุบัน โลกที่โมเมนท์แบบอีสท์มีทเวสท์แสนพิเศษนี้ยังคงถูกเล่าขานต่อๆมาผ่านวัตถุพยานอันทรงคุณค่ายิ่ง ทั้งในแง่ศิลปะ และประวัติศาสตร์

งานนี้ท่านทูตโดนภาพวาดดูดวิญญาณหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่ที่แน่ๆตัวเราโดนดูดเข้าเองแบบเต็มๆสูบ จนต้องขอพาอุปทูต และตรีทูตกลับสยามมาด้วยกัน

About the Author

Share:
Tags: พระณรงค์วิชิต / พิริยะ วัชจิตพันธ์ / ราชทูตสยาม / ฌอง-เลออง เฌโรม / เฟลิกซ์ นาดาร์ / Jean-Léon Gérôme / Félix Nadar / โกษาปาน / พระนารายณ์มหาราช / ตัวแน่น / เจ้าหมื่นไวยวรนารถ /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ