Friday, October 31, 2025
เที่ยวไปรักษ์ไป ชื่นชมอดีต

งามเสมา…ฟ้าแดดสงยาง

เรื่อง/ภาพ: นัทธ์หทัย วนาเฉลิม

ใบเสมาหินทรายจำหลักภาพพุทธประวัติ ตอน ทรงพบพญานาคมุจลินทร์ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ ได้จากการขุดเนินดินบริเวณโรงเรียนฟ้าแดดสงยางวิทยาคาร บ้านหนองแปน ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์

หากกล่าวถึงอัตลักษณ์อีสานหลาย ๆ คนคงจะนึกถึงภาษา อาหารการกิน ผ้าทอ งานบุญประเพณีต่าง ๆ ที่สนุกสนานม่วนซื่นโฮแซว แต่มีอัตลักษณ์หนึ่งที่สำคัญ แต่กลับมีน้อยคนที่จะนึกถึง คือ “วัฒนธรรมหินตั้ง” ซึ่งหินตั้งนี่ละจะวิวัฒนาการไปเป็นเสมาในทางพระพุทธศาสนา และที่อีสานนี่ละที่พบว่ามีใบเสมาที่มีรูปแบบพิเศษไม่เหมือนใครในประเทศไทยก็ว่าได้

ใบเสมาคืออะไร

          ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่า ใบเสมาพัฒนามาจากระบบหินตั้ง ที่มาจากความเชื่อของคน สมมติว่าย้อนไปในสมัยโบราณหากเราไปที่ไหนสักแห่ง แล้วไปเจอเข้ากับทางแยก ๔ แพร่ง ด้วยความเชื่อโบราณว่าทาง ๔ แพร่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากเขตหนึ่งไปยังเขตหนึ่ง ไม่ใช่พื้นที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของชุมชน ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องทำพิธีเปลี่ยนผ่านถึงจะผ่านไปได้ โดยโยนหิน ๓ ก้อน โยนไปโยนมาเกิดเป็นหิน ๓ กอง

ภาพที่ ๑ จำลองลักษณะการปักใบเสมาประจำทิศทั้ง ๘ ทิศ โดยปักล้อมรอบเนินดินหรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนา เพื่อแสดงเขตของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น เจดีย์ ธาตุ อุโบสถ ๒. ภาพถ่ายทางอากาศเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูน้ำคันดินล้อมรอบเมือง ๒ ชั้น เห็นเนินดินสำคัญ ๓ เนินอย่างชัดเจน

          จากหิน ๓ กอง สังเกตว่าภูเขาที่มีลักษณะเป็น ๓ เส้า อย่างดอยตุง จังหวัดเชียงราย และ เขาสามยอด จังหวัดลพบุรี ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน จากกองหินที่ทำหน้าที่กำหนดพื้นที่สำคัญเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิจากกองหินจึงกลายเป็นหินตั้ง และพัฒนาเป็นใบเสมา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ แสดงเครื่องหมายของบริเวณศักดิ์สิทธิ์ แสดงสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง และแบ่งเขตศักดิ์สิทธิ์ออกจากเขตสาธารณะ

เมื่อพระพุทธศาสนามาสู่แผ่นดินอีสาน

      เดิมกลุ่มคนบนแผ่นดินอีสานในรุ่นยุคสำริดระบบความเชื่อเดิมของเขาคือ “นับถือผี” จัดหมู่พวกให้เป็น “ผีบนดิน” จนกระทั่งเข้าสู่ยุคเหล็กอันเป็นยุคแผ่นดินสุวรรณภูมิมีการรับเอาวัฒนธรรมยูนนานแถวทะเลสาบคุนหมิงเข้ามา ความเชื่อที่ตามมาคือเรื่อง “ผีฟ้า”

          กาลเวลาหมุนเวียนในที่สุดยุคเหล็กก็สิ้นสุดลง เข้าสู่ยุคฟูนันตอนปลายในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ พระพุทธศาสนาจึงเริ่มเข้ามาสู่แผ่นดินอีสานในช่วงนี้เอง แม้ว่าความเจริญจะเกิดขึ้นในที่ราบลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ เช่น ลุ่มนำ้โขง ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูน แต่บริเวณที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดคือ “เมืองฟ้าแดดสงยาง”

 ภาพการขุดค้นเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง (ภาพจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดขอนแก่น) 

เมืองฟ้าแดดสงยาง

          เมืองฟ้าแดดสงยาง หมายถึง เมืองที่มีแสงแดดแจ่มจ้าและมีป่ายาง เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่บ้านเสมา ตำบลหนองแปน  อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์

          สภาพภูมิประเทศตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำปาว เป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินดินและหนองน้ำ มีการสะสมของดินตะกอนที่แม่น้ำพัดพามาทำให้พื้นที่บริเวณนี้อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การสกิกรรม

          ทั้งยังมีทรัพยากรที่สำคัญ คือ เกลือสินเธาว์ และไม้เนื้อแข็งประเภท เต็ง รัง ตะแบก และไม้ยาง มีการคมคมทางน้ำที่สะดวกโดยอาศัยแม่น้ำปาว ผืนดินที่บริบูรณ์เช่นนี้จึงมีค่ายื่งกว่าทองคำ

 ภาพการขุดค้นเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง (ภาพจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดขอนแก่น)

          พัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองโบราณฟ้าแดดสงยางแบ่งได้เป็น ๔ ช่วง

          “ช่วงแรก” ถือว่าเป็นพัฒนาการก่อนเข้าสู่ความเป็นเมืองทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๗) จากการขุดค้นของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ขุดค้นพบร่องรอยการอยู่อาศัยบริเวณโนนเมืองเก่า ลักษณะเป็นชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ยังไม่มีการสร้างคูน้ำคันดิน

          จนกระทั่งช่วงพุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นต้นมา จึงพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่สูงขึ้นของชุมชนแห่งนี้ คือ การรู้จักผลิตภาชนะดินเผาจากเตาประเภทระบายความในแนวระนาบ (cross-draft kiln) โดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงของเตาก่อนใช้ดินพอกทับเป็นผนังเตา นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการถลุงเหล็ก โดยการพบตะกรันเหล็ก และท่อดินเผาที่มีคราบของตะกรันเหล็กติดอยู่ ในช่วงเวลานี้พิธีกรรมการฝังศพจะนิยมบรรจุศพลงในภาชนะดินเผา

          “ช่วงที่สอง” เป็นพัฒนาการเมืองทวารวดี เมืองฟ้าแดดสงยาง ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา เป็นช่วงที่เมืองฟ้าแดดสงยางมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะหลักฐานในการนับถือพระพุทธศาสนา มีการสร้างศาสนสถานตลอดจนประติมากรรมรูปเคารพ และ ใบเสมา ขึ้นมากมาย ขณะเดียวกันพิธีกรรมการฝังศพที่เคยปฏิบัติกันมาในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่

          ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ เกิดการสร้างเมืองอย่างเป็นระบบมีการขุดคูน้ำคันดิน เมืองโบราณฟ้าแดดสงยางจึงมีรูปร่างคล้ายใบเสมาดังที่เห็นจากภาพถ่ายทางอากาศในปัจจุบัน มีการค้นพบพระพิมพ์ที่มีลวดลายเหมือนกับพระพิมพ์ที่พบจากเมืองโบราณนครปฐม รวมทั้งพบเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นแบบนิยมในวัฒนธรรมทวารวดีลุ่มแม่น้ำเจ้ายา เช่น หม้อน้ำมีพวย และมีหม้อมีสัน จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงการติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุนโบราณในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

          “ช่วงที่สาม” เป็นการพัฒนาเมืองทวารวดี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ร่วมสมัยกับนครวัด ในช่วงนี้เองที่เมืองฟ้าแดดสงยางได้เริ่มปรากฏร่องรอยหลักฐานของวัฒนธรรมเขมรโบราณขึ้น จากการขุดค้นบริเวณโนนเมืองเก่า โนนวัดสูง และโนนฟ้าแดด พบร่องรอยการอยู่อาศัย การสร้างศาสนสถาน พบกระเบื้องมุงหลังคา และเครื่องเคลือบ

วัฒนธรรมเขมรโบราณที่แพร่เข้ามาได้ปรับเปลี่ยนแบบแผนการใช้ภาชนะเนื้อดินธรรมดาในสมัยทวารวดี มาเป็นเครื่องเคลือบคุณภาพดี และได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการน้ำ โดยการสร้างบารายเพิ่มเติมจากเดิมที่มีเพียงคูน้ำ นอกจากนี้รูปแบบการปลงศพได้เปลี่ยนไปเป็นนิยมเผาก่อนแล้วจึงเก็บอัฐิใส่โกศดินเผาก่อนจะนำไปฝังไว้ที่ศาสนสถาน

          “ช่วงที่สี่” อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๓ พบหลักฐานการอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น มีการขุดค้นพบเครื่องถ้วยจีนที่กำหนดอายุอยู่ในสมัยอยุธยา ร่วมกับสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง และจากการขุดแต่งโบราณสถานทำให้นักโบราณคดีทราบว่ามีการสร้างศาสนสถานแบบอยุธยาซ้อนกับฐานศาสนสถานแบบทวารวดีเกือบทุกแห่ง

          กาลเวลากลืนกินทุกสิ่งแม้กระทั่งตัวเอง จากความรุ่งเรืองสูงสุดค่อย ๆ ถึงสู่จุดล่มสลาย นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่านครโบราณแห่งนี้อาจจะร้างไปด้วยอำนาจความแปรปรวนของธรรมชาติ บางท่านสันนิษฐานว่าลำน้ำที่หล่อเลี้ยงตัวเมืองอาจตื้นเขิน หรือเปลี่ยนทิศทาง หรือบางท่านสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะอำนาจทุพภิกขภัยอันร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง

About the Author

Share:
Tags: เมืองโบราณ / ประวัติศาสตร์ / กาฬสินธุ์ / พุทธศาสนา / ใบเสมา / ฟ้าแดดสงยาง / พุทธประวัติ / โบราณสถาน /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ