Wednesday, November 12, 2025
ศิลปะ ชื่นชมอดีต

ปลาธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของ ประหยัด พงษ์ดำ

รายละเอียดในภาพ ‘ปลา‘

‘เขียนอะไรขึ้นมามันจะรู้สึกผี ๆ มืด ๆ ดำ ๆ ใจมันอยู่กับสิ่งเหล่านี้’

ช่างสมกับนามสกุล ‘พงษ์ดำ’ เพราะ ประหยัด พงษ์ดำ ชื่นชอบสีดำมากที่สุด ด้วยความที่ประหยัดหลงใหลในความลี้ลับ อีกทั้งเวลาที่ประหยัดเกิดจินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานได้ดีก็มักเป็นเวลาโพล้เพล้ย่ำค่ำ สิงสาราสัตว์ที่ประหยัดเลือกสรรมาถ่ายทอดเป็นผลงานก็มักเป็นตัวอะไรที่ใช้ชีวิตยามค่ำคืน หรือไม่ก็มีธรรมชาติที่ลึกลับ เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวหาย ไม่ได้พบเจอตัวกันง่าย ๆ เช่น แมวดำ นกฮูก นกเค้าแมว ตุ๊กแก กิ้งก่า งู ปลา

ชีวิตของ ประหยัด พงษ์ดำ มีความผูกพันกับวิถีชนบทมาตั้งแต่เยาว์วัย ประหยัดเกิดเมื่อ พ.ศ. 2477 ที่บ้านบางน้ำเชี่ยว หมู่บ้านทุรกันดารห่างไกลในอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยเหตุการณ์แรกที่ทำให้ตระหนักว่าตนเองมีพรสวรรค์ด้านศิลปะเกิดขึ้นสมัยยังเป็นเด็กเมื่อประหยัดถูกมอบหมายให้มีหน้าที่เฝ้าไร่ของครอบครัว และคอยไล่อีกาไม่ให้มาขโมยกินข้าวโพดที่ปลูกไว้ ไร่ที่ว่าตั้งอยู่ที่อำเภอ ท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ซึ่งห่างไกลกับบ้านที่ประหยัดอาศัยพอสมควร ทำให้ทุก ๆ วันตั้งแต่ก่อนรุ่งสางประหยัดต้องเดินทางโดยการขี่ม้า และมีหมาหางกุดชื่อไอ้ด้วนวิ่งตามไปด้วยเป็นประจำ จนอยู่มาวันหนึ่งเมื่อไปถึงไร่ ประหยัดเห็นไอ้ด้วนหอบลิ้นห้อยเพราะวิ่งตามมาไกล ดูท่าทางน่าสนใจ เลยคว้าเอาก้อนถ่านที่เก็บได้มาวาดรูปไอ้ด้วนบนกระดานไม้ เผอิญวันนั้นมีชาวนาผ่านมาเห็นเข้าพอดีและชมเปาะว่าภาพหมาสวยสมจริงดูราวกับมีชีวิต บางทีบางเรื่องบางราวที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในชีวิตใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่เห็นจะต้องสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรให้วุ่นวาย เพราะเพียงแค่ภาพสัตว์ที่วาดขึ้นมาโดยบังเอิญ ผนวกกับคำชมอันแสนง่ายแต่จริงใจจากใครก็ไม่รู้ที่ผ่านมา กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เด็กเฝ้าไร่ข้าวโพดอย่างประหยัดหันมาเอาดีทางด้านศิลปะ ศาสตร์ในแขนงที่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของเขาซะเหลือเกิน

ประหยัด พงษ์ดำ (ภาพจากหนังสือ ประหยัด พงษ์ดำ Prints – Paintings 1956 – 1999)

พอโตขึ้นประหยัดจึงตัดสินใจเดินทางมาสอบเข้าโรงเรียนเพาะช่างเพื่อเรียนศิลปะที่กรุงเทพฯ ตามคำแนะนำของประยูร พงษ์ดำ ผู้เป็นพี่สาว และครูจรูญ วินิจ ครูของประหยัดที่โรงเรียนมัธยม ประหยัดสอบผ่านได้เป็นนักศึกษาสมใจ แถมที่โรงเรียนเพาะช่างยังได้พบกับอาจารย์ระดับตำนานมากมาย เช่น ทวี นันทขว้าง บรรจบ พลาวงศ์ พูน เกศจำรัส ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีอาจารย์ศิลป พีระศรี บิดาแห่ง ศิลปะสมัยใหม่ของไทย เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้ ยุกันไปยุกันมา ใน พ.ศ. 2495 ในขณะที่เรียนอยู่ปี 2 ประหยัดเลยสอบเทียบเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรตามรอยอาจารย์ผู้สอนไปด้วยซะเลย

ครั้นประหยัดจบปี 3 ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ตามเกณฑ์ถือว่าสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา แต่ถ้าใครอยากจะเรียนต่อปี 4 และ 5 จนจบปริญญาตรี ต้องมีคะแนนอย่างน้อย 70% ในทุกวิชา ถึงจะมีสิทธิ์เรียนต่อได้ รุ่นนั้นมีนักเรียนแค่ 3 คนที่ผ่านเกณฑ์ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประหยัด เมื่อต้องเลือกวิชาหลักระหว่าง จิตรกรรมและประติมากรรม ประหยัดดันเลือกประติมากรรม ด้วยเหตุผลว่าตนเองถนัดทุกอย่างจะปั้นก็ได้จะวาดก็ดี อีกทั้งประหยัดตั้งใจจะประหยัดเพราะไม่มีสตางค์ซื้อสีซื้อผ้าใบหากเลือกเรียนจิตรกรรม พอเรื่องถึงหูอาจารย์ศิลปซึ่งอ่านขาดเห็นว่าประหยัดมีแววจะเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า เลยจัดแจงย้ายประหยัดมาเรียนจิตรกรรมแทน แถมให้ยืมเงินไปซื้ออุปกรณ์สำหรับการเรียน หลังจากนั้นพอประหยัดเริ่มขายผลงานได้ และรวบรวมเงินมาคืนอาจารย์ศิลป อาจารย์ไม่ยอมรับแต่กลับบอกให้เอาเงินก้อนนี้ไปซื้ออุปกรณ์มาฝึกเพื่อเพิ่มพูนความสามารถ

ประหยัด พงษ์ดำ ขณะสร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคนิค woodcut (ภาพจากหนังสือประหยัด พงษ์ดำ 2477 – 2557)

เมื่อขึ้นปี 5 มีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยศิลปากร 2 ท่าน คือ สิทธิเดช แสงหิรัญ และ แสวง สงฆ์มั่งมี ถึงแก่กรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างอาจารย์ศิลปจึงมอบหมายให้ประหยัด ช่วยสอนวิชาพื้นฐาน คือทฤษฎีศิลป์ และกายวิภาค เมื่อประหยัดจบการศึกษาศิลปบัณฑิตด้านจิตรกรรมคนแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ได้รับการบรรจุให้เป็นอาจารย์ประจำคณะจิตรกรรม ประติมากรรมในตำแหน่งอาจารย์ตรีโดยทันทีในอัตราเงินเดือน 90 บาท

ต่อมาใน พ.ศ. 2502 ประหยัด พงษ์ดำ และศิลปินอีกท่านคือ ทวี นันทขว้าง ได้รับทุนจากรัฐบาลอิตาลี จึงเดินทางไปศึกษาต่อที่ Academia Di Belle Arti Di Roma ในกรุงโรม ถึงประหยัดจะมีอุปสรรคด้านภาษาแต่ก็สามารถสอบผ่านได้ฉลุย เพราะวิชาส่วนใหญ่เคยเรียนมาจากอาจารย์ศิลปแล้วแทบทั้งสิ้น แถมหลายวิชายังเคยเป็นครูผู้สอนเองเสียอีก ระหว่างอยู่ที่อิตาลีประหยัดกวาดรางวัลมากมายจากการประกวด เช่น รางวัลชนะเลิศภาพวาดทิวทัศน์ของแคว้น Gubbio และรางวัลยอดเยี่ยมจากการแข่งขันวาดภาพทะเลสาบในแคว้น Bracciano แต่ประสบการณ์ในต่างแดนที่มีอิทธิพลกับผลงานของประหยัดในยุคต่อ ๆ มามากที่สุดคือการได้เรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะประเภทภาพพิมพ์ วิชาที่เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้วยังไม่มีการสอนแบบจริง ๆ จัง ๆ ในเมืองไทย แถมเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับทำภาพพิมพ์ในบ้านเราก็ยังขาดแคลน

‘ตุ๊กแก‘ ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทองในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 14 ในปี พ.ศ. 2506 (ภาพจากหนังสือ 5 ทศวรรษ ศิลปกรรมแห่งชาติ 2492-2541)

ถึงได้เรียนรู้ และทดลองเทคนิคการสร้างภาพพิมพ์มาแล้วทุกรูปแบบจากสถาบันศิลปะอันทันสมัยในอิตาลี แต่หนทางที่ประหยัดตัดสินใจเลือกใช้กลับเป็นหนึ่งในวิธีที่โบราณที่สุดนั่นก็คือ เทคนิคภาพพิมพ์แกะไม้ (woodcut printmaking) โดยการนำแผ่นไม้มาแกะเป็นร่องให้เกิดเป็นภาพเพื่อใช้เป็นแม่พิมพ์ หลังจากนั้นจึงนำลูกกลิ้งมากลิ้งสีลงบนพื้นผิว ให้สีเกาะเฉพาะบริเวณที่ต้องการ แล้วนำแม่พิมพ์ไปพิมพ์ลงบนกระดาษ ประหยัดให้เหตุผลในการชื่นชอบเทคนิคภาพพิมพ์แบบดิบ ๆ เดิม ๆ นี้ว่า

‘woodcut นี่มันเพียว ๆ มีแรง มีความคิด
แล้วมือแม่นหน่อย เข้าใจเรื่องสี ก็ทำได้’

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม หลังจากประหยัดสำเร็จการศึกษาจากยุโรปและกลับมายังประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2504 ผลงานที่ออกสู่สายตาสาธารณชนแทบจะเป็นภาพพิมพ์แบบ woodcut เกือบทั้งหมด ประหยัดใช้เวลาฝึกฝนพัฒนารูปแบบ และฝีมือในการสร้างสรรค์ผลงานแนวนี้ได้ไม่นานก็เป็นที่ยอมรับ เพราะเพียง 2 ปีให้หลัง ภาพเทคนิค woodcut ฝีมือประหยัดได้รับรางวัลเหรียญทองในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 14 ใน พ.ศ. 2506 โดยผลงานที่ว่าเป็นภาพตุ๊กแกที่มีลูกตัวเล็ก ๆ ปีนป่ายอยู่รายล้อม

ในปีเดียวกันกับที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ประหยัดได้ประยุกต์เทคนิคการแกะแม่พิมพ์ไม้ ให้เป็นผลงานชิ้นสำเร็จเลยโดยไม่มีการนำไปพิมพ์ซ้ำลงบนวัสดุอื่น ดังที่เห็นได้จากภาพ ‘ปลา’ หนึ่งในผลงานจำนวนไม่มากจากยุคที่ประหยัดเพิ่งค้นพบสไตล์ที่เป็นตัวตน ผลงานชิ้นนี้ประหยัดใช้อุปกรณ์ปลายแหลมแกะแผ่นไม้ให้เป็นรูป ก่อนจะลงสีดำเมี่ยมเป็นสีหลักตามที่ชอบ เติมสีขาว สีแดง เว้นส่วนที่ต้องการโชว์เนื้อไม้ไว้ และประดับด้วยทองคำเปลวเพื่อเน้นบางรายละเอียดให้สว่างเด่นชัดขึ้นมา

’ปลา‘ พ.ศ. 2506
เทคนิคแกะไม้ สีน้ำมัน และทองคำเปลว
ขนาด 44 x 92 เซนติเมตร

ตรงกลางมีภาพปลาขนาดใหญ่พาดขวางจนเกือบเต็มพื้นที่ ปลาที่ว่ามีหน้าตาประยุกต์ในแบบฉบับของประหยัดจนบอกได้ยากว่าเป็นปลาอะไร แต่ด้วยลักษณะลำตัวที่เป็นท่อนยาว มีครีบหลังรวมถึงครีบท้องเชื่อมต่อกันตั้งแต่หัวถึงหาง เป็นปลานักล่ามีฟันแหลมคม อีกทั้งประหยัดมักวาดเฉพาะสัตว์จากความทรงจำวัยเด็กในชนบท จึงสันนิษฐานได้ว่าปลาในภาพได้แรงบันดาลใจมาจากปลาช่อน หรือปลาชะโดที่พบได้ทั่วไปตามท้องร่องท้องนา ไม่ใช่ปลาทะเลหรือปลาแปลก ๆ จากต่างประเทศเป็นแน่

ภาพปลาภาพนี้หากมองเผิน ๆ อาจจะดูเหมือนไม่มีเรื่องราวซับซ้อน แต่ความน่าสนใจนั้นถูกแอบซ่อนไว้อย่างแยบคายบริเวณหัวปลา ประหยัดบรรจงแกะสลักภาพปลาตัวเล็ก ๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับปลาตัวใหญ่กำลังว่ายน้ำคลอเคลียกันอยู่เป็นกลุ่ม ซึ่งนี่ก็คือพฤติกรรมการดูแลลูก ๆ ของเหล่าปลาช่อน ปลาชะโดในธรรมชาติ และโดยรอบ ๆ ปลาตัวใหญ่นั้นยังมีปลาตัวอื่น ๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างออกไป สื่อได้ว่าเป็นปลาต่างชนิดที่ว่ายวนเวียนอยู่ไม่ไกล ซึ่งอาจกำลังจดจ้องจะกินลูกปลาที่ไม่ระแวดระวังก็เป็นได้

ผลงานภาพพิมพ์ ‘ความรักของแม่‘ (ภาพจากหนังสือ ประหยัด พงษ์ดำ Prints – Paintings 1956 – 1999)

ภาพแกะไม้รูปปลา รวมถึงภาพตุ๊กแกที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง นั้นล้วนมีเนื้อหายึดโยงกับครอบครัว สื่อถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ไร้ซึ่งเงื่อนไข ซึ่งพบเห็นได้ในทุกเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะประเสริฐ หรือเดรัจฉาน สาเหตุที่ประหยัดมีอารมณ์ค้างคาจนเลือกสื่อความรู้สึกนี้ออกมาเพราะประหยัดเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนใจในชีวิตไปหมาด ๆ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2504 หลังจากเรียนจบจากสถาบันศิลปะในอิตาลี ประหยัดตัดสินใจอยู่ต่างประเทศต่ออีกหน่อยเพื่อท่องเที่ยวไปยังฝรั่งเศส และสเปน ก่อนจะขึ้นเรือเดินสมุทรมายังสิงคโปร์ และต่อรถไฟมายังกรุงเทพฯ เมื่อประหยัดมาถึงหัวลำโพงในช่วงหัวค่ำก็ได้ทราบข่าวร้ายจากญาติว่ามารดาของประหยัดเพิ่งเสียชีวิตเมื่อรุ่งเช้าของวันเดียวกันนั้น ส่งผลให้ประหยัดเสียใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง และคิดไปว่าถ้าหากไม่มัวแต่เที่ยวคงได้กลับมาทันดูใจ และมีโอกาสร่ำลามารดาผู้เป็นที่รัก นั่นจึงไม่แปลกเลยหากประหยัดจะระลึกถึงความผูกพันระหว่างแม่กับลูกตลอดมา และสร้างสรรค์ภาพปลา และตุ๊กแกดูแลตัวอ่อน จนภายหลังมีวิวัฒนาการต่อมาเป็นภาพแม่กับลูกในอีกหลากหลายเวอร์ชันที่ผู้นิยมศิลปะล้วนคุ้นตา

ผลงานของประหยัด จึงไม่ได้เป็นแค่รูปสัตว์ หรือคน ที่ดูมีเอกลักษณ์ แต่ทุก ๆ ภาพล้วนมีความหมายลึกซึ้งอันเกิดจากประสบการณ์ ผนวกกับอารมณ์ที่มากระทบใจ ดังคำสอนที่อาจารย์ศิลป พีระศรี ได้แนะนำกับประหยัดไว้ว่า ผลงานศิลปะที่วิเศษนั้น ‘ไม่มีอะไร แต่มีอะไร’

เรื่อง / ภาพ: ตัวแน่น

About the Author

Share:
Tags: thaiartist / ศิลป์ พีระศรี / ศิลปากร / นิตยสารอนุรักษ์ / ประหยัด พงษ์ดำ / อนุรักษ์ / thai artist / anurakmagazine / THAI ARTISTS / ศิลปะ / Thai National Artist / ตัวแน่น / เพาะช่าง / ทวี นันทขว้าง / woodcut / ศิลปินแห่งชาติ / ภาพพิมพ์ /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ