Monday, October 13, 2025
ศิลปะ เที่ยวไปรักษ์ไป ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

สายน้ำเหืองบ่อาจกั้น…๑๓๒ ปี เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒

เรื่อง/ภาพ: นัทธ์หทัย วนาเฉลิม

ลำน้ำหมันที่ไหลผ่านตัวอำเภอด่านซ้าย มีต้นกำเนิดจาก ภูเขาคอนไก้ (ภูลมโล) ไหลย้อนผ่านอำเภอด่านซ้าย (มีต.กกสะทอน ต.ด่านซ้าย ต.นาหอ และต.นาดี) ไปบรรจบแม่น้ำเหืองที่ต.ปากหมัน ในเขตอ.ด่านซ้าย


แสงและเงาที่ลอดผ่านอุโมงค์ต้นไม้เป็นลวดลายคล้ายผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสอันประณีต โปร่งบาง สายหมอกที่คลอเคลียคล้ายหยอกล้อกับภูเขานั้น ทำให้เกิดทัศนียภาพที่ชุ่มตา หากเส้นทางไปทำงานในชีวิตประจำวัน ได้มองทิวทัศน์ข้างหน้าต่างรถแบบนี้คงรื่นรมย์ไม่น้อย

          เมื่อผ่านอุโมงค์ธรรมชาติออกมาจึงมองเห็นภูเขาหินปูนสลับเป็นทิว เส้นทางคดเคี้ยวนำทางเจ้ารถอีโค่คาคันกระทัดรัดมุ่งหน้าสู่จังหวัดเลย คืนนี้เราจะพักแรมกันที่อำเภอด่านซ้าย

“เมื่อเสียงกัมปนาทจากป้อมพระจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทรระเบิดขึ้น สยามก็ต้องพบจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ไม่เพียงต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงินกว่า ๒ ล้านฟรังก์ ยังต้องเสียดินแดนบางส่วนไปในสงครามฝรั่งเศส-สยาม (Franco-Siamese War) ด้วย”

          จากตำราเรียนเราทราบว่าได้สูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และ เสียมราช พระตะบอง ศรีโสภณ สำหรับการสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมีรายละเอียดยิบย่อยอยู่พอสมควร เกี่ยวกับ “หมวดเส้นแบ่งเขตแดนไทย-ลาว บริเวณที่เป็นทิวเขาและลำน้ำสายเล็กๆ”

นพุทธสักราช ๒๔๔๓ การสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาได้เสร็จเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการเดินรถสายนี้ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๔๓ รวมระยะทางจากกรุงเทพ-นครราชสีมา ทั้งสิ้น ๒๖๕ กิโลเมตร

          ครั้งนั้น (พุทธศักราช ๒๔๓๖) ฝรั่งเศสได้ยึดจันทบุรีไว้เพื่อกดดันให้สยามต้องยอมทำหนังสือสัญญาลงวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๓๖ ยกดินแดนฝั่งซ้ายฟากตะวันออก รวมทั้งเกาะทุกเกาะในแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมถอนกำลังออกจากจันทบุรี ทำให้สยามจำต้องยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงบางส่วน และ “อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย” ให้แก่ฝรั่งเศสดังปรากฏในหนังสือสัญญาฉบับวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๔๖ แต่ฝรั่งเศสกลับไปยึดตราดแทน

          จนกระทั่งวันที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ สยามกับฝรั่งเศสจึงได้ทำหนังสือสัญญากันใหม่ โดยแลกเปลี่ยนจังหวัดตราด อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และ อำนาจศาล กับ เมืองเสียมราฐ ศรีโสภณ และพระตะบอง

          กว่า ๑๓ ปี ภายใต้สภาวะความกดดัน และการต้องตรากตรำพระวรกายในการหาพันธมิตรจากต่างแดนจึงไม่แปลกใจเลยที่พระองค์ทรงประชวร

          “ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ถึงไหนกันแล้วลูก” เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าจากผู้ที่อยู่ปลายทางปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์อดีต บัดนี้อำเภอด่านซ้าย ภายใต้พระบรมโพธิสมภารเป็นอำเภอเล็กๆ ที่สงบงาม เสาไฟฟ้ารูปผีตาโขนเป็นสัญลักษณ์บอกให้รู้ว่า เข้าสู่ตัวเมืองด่านซ้ายแล้ว

          “ป้าน้อย” เจ้าของที่พักในคืนนี้มานั่งรอเราที่หน้าบ้านแล้ว และเพื่อให้หลับสบายในคืนนี้ป้าน้อยภูมิใจนำเสนอเมนู “แกงปลาย่าง” เป็นอาหารพื้นเมืองของด่านซ้าย มองเผินๆ หน้าตาคล้ายแกงเลียง แต่ใช้เครื่องปรุงแตกต่างกันอยู่บ้าง

          ป้าน้อยอธิบายถึงวิธีแกงว่า “นำพริกและตะไคร้มาบุ ต้มกับน้ำ ใส่ผักตามชอบ แล้วจึงใส่ปลากดตากแห้งย่างไฟอ่อนๆ ตามลงไป” ขั้นตอนง่ายๆ เครื่องปรุงไม่ซับซ้อนแต่กลับได้น้ำแกงที่มีรสชาติกลมกล่อม หวานผักสด อร่อยจนแทบลืมวิธีวางช้อนทีเดียว

          เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เมืองในหุบเขาอากาศเย็นโดยไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ ทำให้คณะเดินทางหลับสบายจนถึงเช้า

………

          เช้าชีวิตวันนี้เริ่มขึ้นอย่างง่ายๆ ป้าน้อยรอใส่บาตร ชาวคณะเดินทางยังอยู่ในห้วงฝัน ฉันเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ บ้านพัก ไม่ไกลนักมีลำน้ำไหลผ่าน ชาวบ้านเรียกว่า “ลำน้ำหมัน” เป็นสาขาของแม่น้ำเหือง ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติที่สำคัญระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฝนที่เพิ่งตกไปเมื่อวานทำให้น้ำในลำน้ำเป็นสีส้มแดงไหลปรี่ เกิดเป็นริ้วลายยามผ่านโขดหินเล็กๆ

เมื่อกลับมาถึงบ้านพักทุกคนกำลังล้อมวงเริ่มต้นวันด้วยอาหารพื้นบ้านแบบง่ายๆ ที่ป้าน้อยเตรียมไว้ให้ มี “ข้าวทอด” “แจ่วดำ” และ “ส้มผักเสี้ยน”

          ข้าวทอด เป็นอาหารพื้นถิ่นที่ทำได้ง่าย ให้พลังงานสูง เหมาะกับเมืองที่มีอากาศหนาวเย็น ใช้ข้าวเหนียวชุบไข่แล้วนำไปทอด ส่วนแจ่วดำทำมาจากน้ำคั้นผักสะทอนตำกับพริกและน้ำมะขาม และส้มผักเสี้ยนคือ ผักเสี้ยนดองกับน้ำซาวข้าว ทั้ง ๓ อย่างนี้ รสชาติเข้ากันมาก ไม่ใช่แบบกลมกล่อม แต่เป็นการตัดเลี่ยนและเสริมรสกันเป็นอย่างดี

          หลังกินข้าวเช้าเสร็จได้เวลาล้อหมุนพอดี เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทาง หมุดหมายแรกจึงเป็น “พระธาตุศรีสองรัก” องค์พระธาตุตั้งอยู่ริมลำน้ำหมัน สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๑๐๓ แล้วเสร็จเมื่อพุทธศักราช ๒๑๐๖ เพื่อเป็นสักขีพยานว่าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา (รัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์) และกรุงศรีสัตนาคนหุต (รัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช) เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ (รัชสมัยของพระเจ้าตะเบงชเวตี้)

และเพราะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสักขีพยานแห่งสัจจะไมตรีที่จะร่วมกันปกป้องสงคราม จึงมีข้อห้ามว่าผู้ที่จะขึ้นไปนมัสการองค์พระธาตุห้ามสวมเสื้อผ้าสีแดงและดำ เนื่องจากอนุมานว่าเป็นสีเลือดซึ่งเป็นผลพวงจากสงคราม

บริเวณพระธาตุสงบร่มเย็นจนแม้จะเป็นคนใจร้อนก็ยังรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย รอบๆ พระธาตุทรงบัวเหลี่ยมเรียงรายไปด้วยต้นดอกเผิ่ง (ต้นผึ้ง) ที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาแก้บนและบูชาองค์พระธาตุ

หลังกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วต้องไม่พลาดชิมเมี่ยงคำเจ้าเด็ดที่บริเวณลานจอดรถ เมี่ยงคำเจ้านี้เขาพิเศษตรงที่เราไม่ต้องห่อเองให้มือเลอะ เจ้าของร้านเขาห่อเป็นคำๆ แล้วเสียบไม้ไว้ให้ ทำให้อร่อยสะดวกทีเดียว รสชาติเปรี้ยวหวาน เผ็ดนิดๆ พอพอซาบซ่า ทำให้ตาสว่างพร้อมเดินทางต่อ

About the Author

Share:

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ