Monday, October 13, 2025
ศิลปะ เที่ยวไปรักษ์ไป ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

สายน้ำเหืองบ่อาจกั้น…๑๓๒ ปี เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒

          หลังทำใบผ่านแดนเรียบร้อย ฉันและคณะเดินทางเรียงแถวกันทรงตัวผ่านทุ่นไม้ไผ่ ความไม่คุ้นเคยจึงทำให้เก้ๆ กังๆ ต่างจากชาวบ้านที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ สองเท้าก้าวสลับฉับพลัน ถึงจะหอบข้าวของพะรุงพะรังแต่ก็เดินกันตัวปลิวอย่างกับมีวิชาตัวเบา เมื่อไต่ตลิ่งดินแดงขึ้นไปได้ ซุ้มประตูโขงและกำแพงอิฐเก่าเต็มไปด้วยคราบไคลอดีตของวัดที่พวกเราตามหาก็อยู่ที่เบื้องหน้านี่เอง

วัดโพสี บ้านเหมืองแพ่ สังเกตหลังคาวิหารและสิม การเรียกเครื่องหลังคาของชาวอีสานและลาวจะต่างจะภูมิภาคอื่นอยู่บ้าง เช่น สัตบริภัณฑ์ที่สันหลังคา ทางอีสานและลาวจะเรียก “ช่อฟ้า” ส่วน ช่อฟ้าที่อยู่ยอดหน้าบัน ทางอีสานและลาวจะเรียก “โหง่”

          “ວັດໂພສີ ບ້ານເໝືອງແພ່” (วัดโพสี บ้านเหมืองแพ่) เป็นวัดเก่าแก่อายุราว ๓๐๐-๔๐๐ ปี  ที่น่าสนใจคือวิหาร ซึ่งมีฮูปแต้มทั้งภายนอกและภายในวิหาร โดยช่างได้วาดไว้จนเต็มฝาผนัง ละเอียดยิบพริบพราวจนคนรักภาพจิตรกรรมอดตื่นเต้นไม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องข่มความอยากรู้อยากเห็นแล้วเข้าไปกราบหลวงปู่พระประธานเสียก่อน

          ภายในวิหาร แสงสว่างลอดเข้ามาเพียงสลัวๆ กลิ่นหอมเย็นที่คล้ายกับที่วัดศรีโพธิ์ชัยลอยอวลอยู่ภายในทำให้จิตใจที่กำลังตื่นเต้นนั้นสงบลงอย่างน่าประหลาด

ภายในวิหารวัดโพสี บ้านเหมืองแพ่ นอกจากธุงผ้าและเครื่องสูงเทียมยศที่ชาวบ้านถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว สังเกตเหนือเศียรของพระประธานจะมี “ผ้ากั้ง” ทำหน้าที่เสมือนฉัตร บังแดดฝนให้กับตัวแทนพระพุทธเจ้า

          ฉันเริ่มเก็บรายละเอียดฮูปแต้มจากด้านนอกวิหารก่อน พบว่าช่างได้วาดเรื่องราวพุทธประวัติ ทศชาติ พระเวสสันดร และนรกภูมิ ไว้บนผนังแต่ละด้าน

          แม้จะพบว่าเรื่องราวที่วาดนั้นเหมือนกับฮูปแต้มวัดอื่นๆ แต่รายละเอียดของฮูปแต้มกลับแตกต่าง เป็นต้นว่า ฉากที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะเสี่ยงทายว่าจะสำเร็จมรรคผลได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่โดยการเสี่ยงถาดทอง เป็นฉากที่ไม่เคยเห็นจากวัดใดในภาคอีสาน แถมพญานาคในภาพนั้นยังวาดได้น่ารักทีเดียว

ฮูปแต้มฉากที่พระโพธิสัตว์เสี่ยงทายลอยถาดทองหลังฉันข้าวมธุปายาสว่าจะสำเร็จมรรคผลหรือไม่ สังเกตถาดที่เรียงซ้อนอยู่เบื้องหน้าพญากาฬนาค เป็นประเพณีที่อดีตพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมาเสี่ยงทายลอยถาดที่นี่
ซ้ายสุด ปลากระเบนแม่น้ำโขง อยู่ในกลุ่มปลากระเบนธง ด้านบนมีสีน้ำตาล พื้นท้องสีขาว มีเงี่ยงแหลมคมที่ภาษาอีสานเรียกว่า “ไล” ปัจจุบันอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

          สำหรับตอนพระมหาชนกเรือแตกยังได้ดู “ปลากระเบนแม่น้ำโขง” อีกต่างหาก ฉากตอนเรือแตกนั้นเกิดขึ้นในทะเล แต่เหตุใดจึงสันนิษฐานว่าเป็นภาพปลากระเบนแม่น้ำโขง นั่นเป็นเพราะว่าตามประวัติแล้วช่างผู้เขียนฮูปแต้มบนผนังวิหารนี้กล่าวกันว่าเป็นช่างมาจากเมืองลับแล (จังหวัดอุตรดิตถ์) ซึ่งจากข้อมูลไม่เพียงสถานที่จะไม่ติดทะเล แต่ยังห่างไกลจากทะเลมาก แถมสมัยก่อนการเดินทางยังไม่สะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน จึงสันนิษฐานว่าช่างได้มีโอกาสเห็นปลาฝาชนิดนี้จากแม่น้ำโขงหรือลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งปัจจุบันปลากระเบนแม่น้ำโขงหรือปลาฝาไลตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แล้ว

          และภาพที่ทำให้ฉันตื่นเต้นอย่างที่สุด คือ “ธงช้างเผือกเปล่าบนพื้นแดง” ในฉากการรบอันดุเดือดมีการใช้ปืนไฟเป็นยุทโธปกรณ์ และนอกจากนี้ยังมีภาพเครื่องแบบทหารอย่างสมัยใหม่ ซึ่งสยามมีการปรับภาพลักษณ์เครื่องแบบทหารใหเป็นอย่างยุโรปเพื่อให้ดูทัดเทียมอารยะประเทศอย่างจริงจังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวกกับเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ช่างแต้มและชาวบ้านจึงชินตาจากการเห็นทหารฝรั่งเศสเดินไปเดินมา และจากทหารไทยที่คอยควบคุมความสงบบริเวณจุดอ่อนไหว จึงสันนิษฐานว่าแม้วิหารจะสร้างมา ๓๐๐-๔๐๐ ปีแล้ว แต่ฮูปแต้มน่าจะวาดขึ้นมาภายหลังในช่วงรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นไป

งช้างเผือกเปล่าบนพื้นแดง ถูกใช้เป็นธงประจำเรือสยามมาโดยตลอด ถูกนำมาใช้เป็นธงบกครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

          สำหรับฮูปแต้มภายในวิหารเขียนเรื่องพระมาลัย และ พระเวสสันดร ฉากที่นางอมิตดาถูกกลั่นแกล้งนั้นน่าสงสารไม่ต่างจากการถูกบูลลี่ในยุคปัจจุบันเลย ได้เห็นแฟชั่นพื้นบ้านของแม่หญิงสมัยเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาผ่านตัวกากในภาพวิภีชีวิตชาวบ้าน และเมื่อเห็นภาพที่เหล่าตัวกากแอบต้มเหล้าในวัดก็อดขำไม่ได้

          สำหรับสิม (โบสถ์) หลังเล็กด้านหน้าวิหาร ภายในมีฮูปแต้มไม่มากเขียนเรื่องพระลักพระลาม (รามเกียรติ์ฉบับลาว) เจ้าหุนละมาน (หนุมาน) แยกเขี้ยวขาวพันตูกับทศกัณฑ์อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ภาพชาวบ้านที่แต่งตัวมาวัด ผู้หญิงห่มสไบ ผู้ชายใช้ผ้าพาดบ่า ทั้งเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และยังมีความเชื่อว่าผ้าสไบและผ้าพาดบ่านั้นแทนบันไดสู่สวรรค์ด้วย

การมาเที่ยวชมฮูปแต้มจึงไม่ใช่เพียงมาดูภาพนิทานเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น แต่เรายังสามารถศึกษาวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งได้เรียนรู้เกร็ดทางประวัติศาสตร์จากภาพกากในนั้นด้วย

          เมฆครึ้มลอยต่ำ สายฝนน่าจะกระหน่ำลงมาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว ถ้าต้องลุยถนนดินแดงตอนที่เป็นโคลนเละคงดูไม่จืดแน่ พวกเรารีบจัดการก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าแล้วไต่ลงตลิ่งเพื่อข้ามทุ่นไม้ไผ่กลับไปยังฝั่งไทย          

          “ที่แม่น้ำเหียงยังมีบ่อเกีย (เกลือ) นำ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์สิมีการจัดงานบุญบ่อเกีย ที่คนทั้งสองฟากน้ำสิมาเอาบุญนำกัน อย่าลืมแว่มายามใหม่เด้อ” เจ้าหน้าที่หนุ่มประจำด่านบ้านเหมืองแพร่ทางฝั่งลาวแจ้งข่าว พวกเรายิ้มรับพร้อมกับโบกมือลา วิกฤตการณ์สงครามฝรั่งเศส-สยาม ล่วงผ่านไปกว่า ๑๓๒ ปีแล้ว หลงเหลือเพียงความละเอียดอ่อนและซับซ้อนของเขตแดนระหว่างประเทศที่กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ยังถกกกันไม่จบ แต่กระนั้นเส้นแบ่งเขตแดนตามร่องลึกแม่น้ำเหืองในเขตจังหวัดเลยที่มีความยาว ๑๓๔ กิโลเมตร ก็ดูจะคล้ายจะเป็นเส้นสมมติอันบางเบา เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นสายแนน (พรหมลิขิต) ของคนรัก หรือ เส้นสายสัมพันธ์ของครอบครัวระหว่างสองฟากน้ำ ที่แม้จะมองไม่เห็น ไม่มีเขตกำหนดชัดเจน แต่กลับเหนียวแน่นยิ่งกว่า ไม่ต่างจากปั้นข้าวเหนียวที่มาจากกระติบเดียวกัน                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                               

About the Author

Share:

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ