Sunday, September 21, 2025
สัมภาษณ์ ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

หนังประโมทัย…เงาฝันวันเยาว์ของชาวบ้านอีสาน

เรื่อง/ภาพ: นัทธ์หทัย วนาเฉลิม

          “…โอ้กะละแม่นสาวเอ๋ย               เห็นขาขาวๆ กะละว่าแม่นฝ้าย

          บายมานั่นกะละแม่นบักนุ่น          เห็นจุนพุนกะละว่าแม่นน้ำ

          โตนต้ามกะละแม่นตม                  นั้นละนานวนนา

          หางตาเจ้าผู้สักไท้ไน้                   เมือเป็นไพ้พี่หมอลำบ่

          โอ๋ยหรือบ่พอจะใจเจ้า…”

          เสียงเพลงลำเต้ยประกอบเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณและแคนดังขึ้น ตัวหนังจึงโผล่ขึ้นมาหลังฉากผ้าขาว พวกเด็กๆ ปรบมือโห่ร้องดีใจว่า “บักตื้อมาแล้วๆ”

หุ่นตัวละครหนังประโมทัย ไม่ได้มีแค่ตัวพระ-นาง ยักษ์ หรือตัวตลกเท่านั้น แต่ยังมีหุ่นรูปสัตว์ และต้นไม้ด้วย

การละเล่นของมวลมนุษยชาติ

   การแสดงหนังเงาเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของมนุษยชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในประเทศกรีก อียิปต์ อินเดีย และจีน ใช้การแสดงหนังเงาในการฉลองความสำเร็จ สดุดีคุณงามความดีและการบูชาเทพ

          ชาวอินเดียโบราณเรียกการแสดงหนังของพวกเขาว่า “ฉายานาฏกะ” แปลว่า เงา หรือโครงรูปแห่งละคร เป็นการละเล่นของชาวอินเดียโบราณในแถบอินเดียใต้ชาติทราวิฑ

เนื่องจากชาติทราวิฑในอินเดียใต้ไม่เคร่งครัดมากนักเรื่องการจับต้องหนังสัตว์ที่ตายแล้ว รวมถึงจับหนังสัตว์ที่ตายแล้วภายในมณฑลพิธีที่จัดตั้งขึ้นตามลัทธิไม่ถือว่าเป็นบาป หรือเป็นมลทิน ในขณะที่ศาสนาฮินดูจะเคร่งครัดมากโดยเฉพาะถ้าถูกต้องหนังโคจะถือว่าเป็นบาปหนัก และมีมลทินติดตัว

          วิธีการแสดงฉายานาฏกะเริ่มจากการหาผ้าเนื้อบางขึงเป็นจอ แล้วเอาหนังสัตว์มาแกะเป็นรูป เชิดหน้าจอ เอาหนังสัตว์มาแกะเป็นรูปติดหน้าจอ เรื่องที่แสดงแต่ดั้งเดิม คือ เรื่องทูตางคท ต่อมาเป็นเรื่องพระราม ซึ่งกวีตัดเอาไปแต่งใหม่เป็นเรื่องรามเกียรติ์

จากอินเดียถึงอีสาน

    การเล่นหุ่นเงาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินเดียที่แพร่เข้าสู่ดินแดนต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงเวลาเดียวกันกับวัฒนธรรมอินเดียอื่น เช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ภาษาสันสกฤต การแต่งกาย การใช้คำราชาศัพท์ ฯลฯ

          ถือได้ว่าประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะกัมพูชา เมียนมาร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สังคมนิยมเวียดนาม ต่างได้รับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียในเวลาใกล้เคียงกัน และมีการพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน

          หนังตะลุงและหนังใหญ่ของไทย

          ศิลปะการแสดงหนังเงาในประเทศไทยปัจจุบันแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท โดยศึกษาจากขนาดและลักษณะการแสดงเป็นเกณฑ์ ได้แก่

          “หนังใหญ่” เป็นวัฒนธรรมราชสำนัก พัฒนาขึ้นมาในบริบทของราชสำนักกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากราชสำนักเขมร

          “หนังตะลุง” เป็นวัฒนธรรมราษฎร์ ปรากฏอยู่ตามภาคต่างๆ ของประเทศ เช่น ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคอีสาน

          หนังตะลุงอีสาน

          มีหลายคำเรียกหาทั้ง หนังประโมทัย หนังปราโมทัย หนังปะโมทัย หนังบักตื้อ หนังบักป่อง หนังบักแก้ว หนังขราบก็เรียก คำว่า “หนังประโมทัย” ดูเหมือนจะเป็นคำเรียกชื่อที่นิยมเรียกกันทั่วไป ชื่อหนังบักตื้อ หรือปลัดตื้อ หรือหนังบักป่องบักแก้ว ต่างก็เรียกตามชื่อตัวตลกเอกประจำคณะหนังที่นายหนังสร้างตัวตลกเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้คน ส่วนชื่อหนังขราบนั้นมาจากอิทธิพลของหนังตะลุงภาคใต้ ซึ่งเวลาพากย์จะลงท้ายด้วยคำว่า “ค-รับ” หรือ “ขราบ” ตามสำเนียงภาษาถิ่นของภาคใต้

          เนื่องจากหนังตะลุงภาคอีสานเกิดขึ้นภายหลังหนังตะลุงภาคอื่นๆ ในประเทศไทยทั้งหมด ประวัติความเป็นมาของหนังประโมทัยจึงค่อนข้างจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พัฒนาขึ้นมาจากการรับเอาอิทธิพลของหนังตะลุงภาคใต้ ทั้งที่รับจากภาคใต้โดยตรง และรับจากหนังตะลุงภาคกลางที่เกิดจากหนังตะลุงภาคใต้อีกต่อหนึ่ง

          จังหวัดอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางแห่งแรกของหนังประโมทัย หนังประโมทัยคณะที่เก่าแก่ที่สุดที่พอจะสืบเสาะได้คือ “คณะฟ้าบ้านทุ่ง” ตั้งขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๙ โดยได้แบบอย่างมาจากหนังตะลุงจากจังหวัดอยุธยา

 ป้ายโฆษณาคณะหนังประโมทัยที่ติดตามถนนในหมู่บ้านทางภาคอีสาน

          นอกจากนี้ข้อสันนิษฐานอื่นๆ เกี่ยวกับกำเนิดหนังประโมทัย เช่น หนังตะลุงอีสานอาจเกิดจากชาวอีสานที่ลงไปอยู่ภาคกลาง ได้เห็นการแสดงหนังตะลุงของชาวปักษ์ใต้ที่เข้ามาแสดงในภาคกลาง แล้วนำมาดัดแปลงให้เหมาะสมกับท้องถิ่น อาจเป็นไปได้ที่คณะหนังตะลุงปักษ์ใต้ได้รับการว่าจ้างมาแสดงในภาคอีสาน ศิลปินชาวอีสานที่ได้ดูหนังตะลุงปักษ์ใต้ ได้นำมาดัดแปลงให้เหมาะสมกับท้องถิ่น      และชาวอีสานที่ลงไปทำมาหากินในภาคใต้ได้เห็นการแสดงหนังตะลุง เมื่อกลับมาอยู่ในภาคอีสานก็ได้นำหนังตะลุงภาคใต้มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับท้องถิ่น

การผนึกกำลังระหว่างหมอลำและหนังตะลุง

          ในสังคมหมู่บ้านอีสาน เอกลักษณ์ท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญของศิลปะการแสดงประเภทนี้เพราะนวัตกรรมใดๆ ก็ตามที่มีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรม จะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคมวัฒนธรรมใหม่อย่างแน่นอน หากไม่มีการปรับหรือเปลี่ยนองค์ประกอบบางประการให้มีลักษณะของสังคมนั้นๆ เพื่อให้หนังประโมทัยเป็นที่ยอมรับของคนท้องถิ่น ศิลปินพื้นบ้านจึงนำเอากลอนลำมาขับร่วมกับการเชิดตัวหนัง

          เรื่องที่นำมาแสดง เช่น พระลักพระลาม (รามเกียรติ์) สังสินไซ (สังข์ศิลป์ชัย) ท้าวก่ำกาดำ สีทน (มโนราห์) จำปาสี่ต้น ท้าวสุริวงศ์ ท้าวกาละเกด ฯลฯ บ้างก็มีเรื่องที่แต่งขึ้นเอง ตัวตลกของหนังประโมทัยมีปลัดตื้อ บักแก้ว บักแหมบ อีลุน อีทา โดยเครื่องดนตรีที่นำมาใช้บรรเลงประกอบการแสดง ได้แก่ แคน พิณ กลองตะโพน ฉิ่ง ฉาบ

          หนังตะลุงภาคอีสานไม่มีขนบในการแสดงมากนัก เมื่อทำพิธีไหว้ครูเสร็จก็บรรเลงโหมโรง แล้วดำเนินการแสดงมีต้นไม้ปักกลางจอ ปักรูปมนุษย์ด้านขวา รูปยักษ์ปักด้านซ้าย แล้วเชิดพอเป็นพิธีไม่มีการพากย์

เด็กๆ ที่มาร่วมงานทดลองทำหุ่นหนังประโมทัยจากจินตนาการโดยใช้กระดาษแข็ง

About the Author

Share:
Tags: สังสินไซ / หนังตะลุง / หมอลำ / หนังประโมทัย /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ