มีสถานที่หนึ่งที่ป้าน้อยแนะนำให้แวะไปก่อนเดินทางไปยังอำเภอนาแห้ว คือ “วัดเนรมิตวิปัสนา”

วัดเนรมิตวิปัสนา ห่างจากตัวอำเภอด่านซ้ายไปราว ๑ กิโลเมตร ตัววิหารก่อสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดเลย แห่งที่ ๑
บริเวณวัดกว้างขวางสะอาดสะอ้าน สนามหญ้าเขียวตัดจนเตียนโล่งสบายตา บริเวณที่วางธูปเทียนไว้บริการพุทธศาสนิกชนมีเจ้าแมวอ้วนนอนขี้เกียจอยู่ตัวหนึ่ง มันขดตัวอย่างกับขนมครัวซ็องชิ้นอวบ ฉันเอานิ้วจิ้มพุงมันจนบุ๋ม แต่เจ้าแมวก็ไม่ยอมขยับตื่นมาต้อนรับนักท่องเที่ยวเลย
หลังกราบพระประธานในวิหารแล้ว จึงเลยไปกราบสรีรสังขารของอดีตเจ้าอาวาส “พระครูภาวนาวิสุทธิญาณ” ในมณฑปข้างวิหาร ที่มรณะภาพไปแล้ว แต่สังขารกลับไม่เน่าเปื่อย ซึ่งพบปรากฏการณ์นี้ในพระภิกษุสา ยวิปัสนากรรมฐาน
พระครูภาวนาวิสุทธิญาณ มีนามเดิมว่า “พันธ์ สุขเป็ง” เป็นชาวอ.รัตนบุรี เดิมศึกษาแนวทางวิปัสนากรรมฐานด้วยตนเองแต่ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร จึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษฐ์ของพระครูสังวรสมาธิวัตร เจ้าอาวาสวัดเพลงวิปัสนา กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นได้ธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ราว ๒๐ ปี ก่อนจะกลับมาปักหลักบริเวณภูเปือย เป็นที่ตั้งวัดเนรมิตวิปัสนาในปัจจุบัน


จากอำเภอด่านซ้ายมุ่งหน้าสู่อำเภอนาแห้ว เส้นทางคดเคี้ยวราวกับงูตัวยาวที่ถูกพับทบไปทบมา บริเวณทางโค้งที่ม้วนตัวจนคล้ายเลขเก้าอาราบิก มองลงไปเห็นหมู่บ้านที่เบื้องล่างคล้ายกับทิวทัศน์ของเมืองในหุบเขา เพราะลักษณะคดโค้งที่คล้ายเลขเก้าอาราบิกนี้เอง จุดชมวิวนี้จึงได้ชื่อว่า “ภูเก้าง้อม”
ผ่านพ้นโค้งอันวิกฤกติมาได้จึงเข้าสู่เขตบ้านนาพึง ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีวัดสำคัญ คือ “วัดโพธิ์ชัย” วัดโบราณแห่งนี้ตั้งเป็นวัดขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๕ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๐ ชาวบ้านเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดบ้านนาพึง” ตามชื่อลำห้วยพึงที่ไหลผ่านวัดจากทางทิศเหนือไปทางตะวันออก
นอกจากนี้ชัยภูมิของหมู่บ้านยังมีลำน้ำหูไหลผ่านจากทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านลงไปทางทิศใต้ และเนื่องจากหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา ติดต่อกับจึงติดต่อกับชุมชนภายนอกได้ค่อนข้างลำบาก หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่น้อยกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว สำหรับวัดประจำหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านกว่า ๒ ชั่วคน ต่างกล่าวว่าเกิดมาก็เห็นแล้ว
ที่น่าสนใจและควรค่าแก่การมาชมคือวิหาร ซึ่งมีฮูปแต้ม (ภาพจิตรกรรมอีสาน) ทั้งภายในและภายนอก
ฮูปแต้มภายในวิหารเขียนขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๕ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ พระเวสสันดรชาดก เนมิราชชาดก และนิทานพื้นบ้าน
น่าเสียดายที่ในวันนี้พวกเราไม่ได้เห็นฮูปแต้มภายในวิหาร เนื่องจากมีงานบูรณะโครงสร้างของศาสนคาร แต่ก็มีโชคดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ได้เห็นกระบวนการที่เรียกว่า “เข้าเฝือกงานจิตรกรรม” โดยการใช้เยื่อกระดาษปิดผนึกภาพจิตรกรรมไว้เพื่อป้องกันฝุ่น และการกระทบกระเทือนจากการก่อสร้าง

การใช้เยื่อกระดาษที่มีเส้นใยขนาดยาว มีลักษณะของเนื้อกระดาษที่เปียกแล้วเหนียว ทับลงไปบนภาพจิตรกรรม ใช้น้ำและแปรงที่มีขนแข็ง (ประมาณ ๔ นิ้ว) ลูบในลักษณะที่ให้เยื่อกระดาษค่อยๆ ดูดซับน้ำจนอ่อนตัวและเกาะติดอยู่กับภาพจิตรกรรม จะช่วยป้องกันไม่ให้ชั้นเขียนสีหลุดร่วงเสียหายได้
ส่วนผนังด้านนอกเขียนขึ้นในพุทธศักราช ๒๔๕๙ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เขียนเรื่องพระมาลัย พระเนมิราชเสด็จชมเมืองนรก สังสินไซ และการะเกด ที่น่าสนใจและดูสนุกสนานคือภาพวิถีชีวิตชาวบ้านที่สอดแทรกเป็นเกร็ดทางประวัติศาสตร์อยู่ในนั้น เป็นต้นว่า การมาถึงของรถไฟ นาฬิกา จักรยาน ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ และการนุ่งซิ่นหมี่คั่นของผู้หญิงอันเป็นอัตลักษณ์ของแม่หญิงชาวเวียงจันทน์
