จากบ้านนาพึงมุ่งหน้าสู่บ้านแสงภา ใช้เวลาเดินทางราว ๑ ชั่วโมง ด้านนอกหน้าต่างทั้ง ๒ ข้างทาง กล้าข้าวในนากำลังระบัดใบเขียวสบายตา จากจุดชมวิวบ้านแสงภามองเห็นยอดมณฑปอยู่ลิบๆ ที่นั้น “วัดศรีโพธิ์ชัย” บ้านแสงภาเป็นอีกวัดหนึ่งในอำเภอนาแห้วที่จะพลาดไม่ได้ เมื่อขับรถไต่ระดับลงไปยังหมู่บ้านในหุบเขา ศาสนคารหลังคาทรงปีกนกจึงปรากฏแก่สายตา
ตามประวัติวัดศรีโพธิ์ชัยเริ่มสร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๐๙๐ และตั้งวัดเมื่อ พุทธศักราช ๒๓๗๕ โดยกลุ่มนายพรานจากเวียงจันทน์ มีหัวหน้าชื่อ “เซียงภา” (เซียงเป็นคำเรียกผู้ที่เคยบวชชเณรมาก่อน) ซึ่งอพยพญาติพี่น้องมายังบริเวณนี้ วัดศรีโพธิ์ชัย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดบ้านแสงภา” ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๐
เมื่อแรกก้าวเข้าไปในวิหารกลิ่นหอมเย็นที่ไม่ได้มาจากน้ำอบไทยตามท้องตลาดหอมอวลอยู่ภายในวิหารเสริมให้บรรยากาศดูเข้มขลัง “หลวงพ่อใหญ่” พระประธานประจำวิหารคล้ายกับกำลังเหลือบมองพวกเราที่กำลังก้มกราบอย่างเมตตา ที่ด้านข้างของท่านจัดเรียงประดับ “เครื่องสูงเทียมยศ” หรือ “เครื่องราชกกุธภัณฑ์”

ปกติแล้วเครื่องสูงเทียมยศเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ แต่สำหรับในทางพระพุทธศาสนาจะเป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ “พิธีสมโภชพระเจ้า” เพื่อเป็นเครื่องแสดงสัญลักษณ์การยกย่องพระพุทธรูปให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์
ที่ด้านข้างของหลวงพ่อยังมีธุงผ้าห้อยยาวลงมาหลากหลายลวดลายที่ชาวบ้านทอมาถวายเป็นพุทธบูชาโดยเชื่อในอานิสงส์ว่า หากตกนรกก็สามารถเกาะชายธุงขึ้นสวรรค์ได้ (ธุง เป็นภาษาอีสานมีความหมายเดียวกับ ธง หรือ ตุง)
วันนี้โชคดีที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเห็นว่าคณะเดินทางของเรานั้นมาไกลทั้งยังตั้งใจมาชมวัดศรีโพธิ์ชัยด้วยจึงเปิดให้เข้าชมภายในมณฑปเป็นกรณีพิเศษ
เมื่อกุญแจที่ล็อคถึง ๘ ชั้น ถูกไขออก ฉันถึงกับตะลึงลาน ที่ด้านหลังกระจกกันกระสุนนั้นมีแบบจำลองวิหารประจำวัดแบบดั้งเดิม ลายสลักไม้ซึ่งเป็นเครื่องประกอบบนหลังคานั้นงดงามอ่อนหวาน ยากที่ช่างในยุคปัจจุบันจะมีฝีมือเสมอเหมือน
รอบๆ แบบจำลองวิหารมีพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างตั้งอยู่เรียงราย ด้านข้างมี “โขงพระ” สลักจากไม้เป็นรูปพญานาคศิลปะอย่างช่างพื้นบ้านดูน่าเอ็ดู โขงพระในภาษาทางการคือ “บุษบก” เปรียบได้กับวิมานของเทวดา พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในบุษบกจึงเป็นการเปรียบเทียบว่า “พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ในวิมานบนสวรรค์”

สิ่งที่น่าสนใจในบริเวณวัดบ้านแสงภายังมีอยู่ไม่น้อย แต่ต้องค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ ชื่นชมอย่างละเลียดไปกับบรรยากาศรอบข้าง เช่น ระบบรอกที่บ่อน้ำบาดาล แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาและจินตนาการในการประดิษฐ์กลไก รางน้ำฝนที่ทำจากแผ่นไม้บนหอแจก (ศาลาการเปรียญ) ซึ่งฝีมือในการประกอบต้องเนี้ยบมากจึงทำให้ไม่มีช่องว่างให้น้ำหยดออกนอกรางได้เลย รวมถึงการแกะสลักไม้ลดลายอย่างอีสานที่ประตูห้องเจ้าอาวาสด้วย

ภายในหมู่บ้านแสงภายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่น่าสนใจ คือ “พระธาตุดินแทน” พระธาตุนี้ถือคอนเซปต์อยู่ว่าไม่ก่ออิฐไม่ถือปูน แต่บูชาโดยใช้ดิน ชาวบ้านแสงภาได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้สืบต่อกันมากว่า ๒๐๐ ปีแล้ว
ถัดจากบริเวณพระธาตุไปสักหน่อยมีป้ายชี้ทางไปสักการะรอยพระพุทธบาท กลั้นใจเดินขึ้นไปได้ ๑ เมื่อย จึงพบป้ายให้กำลังใจว่า อีก ๑๗๘ เมตร จะถึงรอยพระพุทธบาท ถ้าหากเป็นการเดินบนพื้นราบ ๑๗๘ เมตร นั้นเป็นระยะทางสบายๆ แต่พอเป็นระยะทางในแนวดิ่งแถมยังเร่งร้อนก็จะราวกับว่าระยะทาง ๑๗๘ เมตร นั้นยืดยาวจนไม่จบสิ้นสักที แต่ถ้าหากทำใจให้สบาย ปล่อยใจไปกับธรรมชาติรอบข้าง ชื่นชมต้นเฟิร์นเล็กๆ ใบกระจุ๋มกระจิ๋มอย่าง เฟิร์นใบผักชี และ เฟิร์นก้านดำ ระยะทางที่ว่าไกลก็เหมือนจะหดสั้นเข้ามานิดหน่อย
ที่ปลายทางรอยพระพุทธบาทที่เราดั้นด้นขึ้นไปสักการะนั้น เป็นรอยประชุมพระพุทธบาทจำลองของอดีตพระพุทธเจ้า จากจุดสูงสุดนี้สามารถมองเห็นวิวหมู่บ้านแสงภาได้ในแบบพาโนราม่า

จากพระธาตุดินแทนพวกเราย้อนกลับไปที่อำเภอด่านซ้ายเพื่อพักแรมที่บ้านป้าน้อยอีกคืน ก่อนกลับเข้าบ้านเราแวะไปที่ “วัดโพนชัย” สักการะ “พระเจ้าใหญ่” หลวงพ่อพระประธานภายในวิหารที่กล่าวกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ที่น่าตื่นเต้นคือด้านหลังของหลวงพ่อมีรูขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒ คืบ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นรูพญานาค ฉันพยามเขม้นสายตามองผ่านความมืดลงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ารูนี้จะลึกสักแค่ไหน จะได้เจอพญานาคอย่างที่ลือกันหรือไม่
วัดโพนชัยสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงเดียวกับการสร้างพระธาตุศรีสองรัก (ระหว่างพุทธศักราช ๒๑๐๓-๒๑๐๖) เพื่อใช้เป็นที่พักของพระสงฆ์ที่มาร่วมงานสมโภชพระธาตุศรีสองรัก ชาวบ้านเชื่อว่าบริเวณเนินดินที่สร้างวัดเกิดจากขุยดินปากรูพญานาค ทั้งยังมีตำนานเล่าว่าในสมัยพุทธกาล พญานาคเคยได้ถวายพื้นที่แห่งนี้ให้พระพุทธเจ้าได้ประทับแรม พร้อมด้วยพระสาวกอีก ๕๐๐ รูป
ขุยดินที่ทับถมกันจนเป็นเนินย่อมๆ นี้ ชาวบ้านด่านซ้ายเรียกว่า “โพน” ภายหลังมีการสร้างวัดบนโพนแห่งนี้ จึงตั้งชื่อให้เป็นมงคลว่า “วัดโพนชัย”
ที่วัดโพนชัยยังมีพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของประเพณีผีตาโขน วัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการประดิษฐ์ และมีกิจกรรมเวิร์คช้อปให้นักท่องเที่ยวได้ลองประดิษฐ์ในวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย
มื้อค่ำวันนั้นเราฝากท้องไว้กับร้านอาหารครัวคุณนายซึ่งไม่เพียงมีอาหารรสชาติดี แต่ยังมีงานศิลปะฝีมือพี่ชายเจ้าของร้านให้ได้ชมกันด้วย
