
‘Feel Blue’ นั้นมีความหมายว่า รู้สึกเศร้าใจ ตามหลักจิตวิทยาของสี สีน้ำเงินเข้ม ให้ความรู้สึกเศร้า โดดเดี่ยว และวังเวง
สีน้ำเงินจึงถูกใช้โดยศิลปินเพื่อถ่ายทอดอารมณ์จากเบื้องลึกของจิตใจออกมาสู่ผืนผ้าใบ ครั้งหนึ่งขณะ ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) กำลังเดินทางไปต่างเมืองก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าเพื่อนสนิทฆ่าตัวตาย และเมื่อปิกัสโซกลับมาถึงกรุงปารีสก็ได้ใช้ห้องสตูดิโอของเพื่อนที่เพิ่งเสียชีวิตในการวาดภาพ นี่คือจุดเริ่มต้นของผลงานยุคบลู (The Blue Period) จากบุคคลที่เคยสนุกสนานร่าเริง และมักออกไปสังสรรค์พบปะผู้คน ปิกัสโซเริ่มเก็บตัว ปลีกวิเวก ตัดขาดตนเองออกจากสังคม ด้วยความหดหู่อย่างรุนแรงปิกัสโซเลือกที่จะวาดภาพที่มีเนื้อหาเศร้าหมอง เช่นภาพเพื่อนที่ตายไปแล้ว โลงศพ คนตาบอด เด็กที่อดหยาก โดยใช้เพียงสีน้ำเงินในเฉดต่างๆระบายความรู้สึกเป็นภาพ
อาชีพศิลปินที่กำลังดำเนินมาดีๆของปิกัสโซทั้งทางด้านชื่อเสียง และรายได้จึงถึงคราวชะงักงัน ภาพยุคบลูถูกนักวิจารณ์ศิลปะสวดซะยับ แกลเลอรี และลูกค้าค่อยๆทยอยหายหน้าหายตาหันไปซื้อหาผลงานจากศิลปินอื่นๆที่ดูเจริญหูเจริญตากว่า
รู้ทั้งรู้ว่าวาดไปก็ขายไม่ได้ แต่ปิกัสโซก็ยังตั้งหน้าตั้งตาสร้างสรรค์ผลงานสีน้ำเงินที่ดูทุกข์ระทมด้วยความซื่อสัตย์กับอารมณ์ที่รู้สึก ไม่ได้วาดภาพเพื่อเอาใจใคร หรือเกาะกระแส กว่าผลงานยุคบลูจะมีคนให้ความสำคัญจนราคาประมูลพุ่งทะยานทะลุอวกาศแพงยิ่งกว่าผลงานชุดที่คุ้นตาของของปิกัสโซนั่นก็หลังศิลปินเสียชีวิตไปแล้ว พอเล่าเรื่องนี้ทีไรก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง สุเชาว์ ศิษย์คเณศ ศิลปินไทยผู้ยึดมั่นกับความจริงใจในการถ่ายทอดอารมณ์อันอัดอั้นจนต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างหนักหนาสาหัส กว่าสาธารณชนเห็นคุณค่าสุเชาว์ก็ได้ลาจากโลกไปก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 สองสามีภรรยาชาวจีน นายยิ้มถิ่นกวง และ นางยี แซ่หยิ่ม ที่เดินทาง ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อมาหางานทำในเมืองไทย ได้ให้กำเนิดบุตรชายและตั้งชื่อว่า ซิวเจียง แช่หยิ่ม ครอบครัวเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวคนโต และลูกชายคนสุดท้อง มีอันต้องระหกระเหินแยกทางกันไปเมื่อพ่อและแม่เดินทางกลับเมืองจีน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้เพราะหลังจากนั้นลูกๆ ก็ไม่ได้ข่าวคราวจากบุพการีอีกเลย พี่สาวซึ่งขณะนั้นมีอายุประมาณ 20 จึงต้องรับภาระทำงานหนักเกินตัวเพื่อดูแลตนเอง และน้องซิวเจียง ซึ่งเพิ่งจะมีอายุได้เพียง 10 ขวบเศษๆ ในช่วงวัยมัธยมนี่เองที่เด็กชายซิวเจียง แช่หยิ่ม ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สุเชาว์ ยิ้มตระกูล สุเชาว์ อดๆ อยากๆ มาตั้งแต่เล็ก ถึงพี่สาวจะพยายามทำงานหาเงินมาดูแลครอบครัว แต่ก็ยังไม่พอใช้ ทั้งคู่เลยต้องพากันอดมื้อกินมี้อ พยายามอยู่กันไปให้ได้แบบตามมีตามเกิด
พอสุเชาว์เรียนจบมัธยมจึงมีความจำเป็นที่ต้องหันหลังให้กับการศึกษาเพื่อหางานทำ สุเชาว์ใช้เวลาช่วงกลางวันหาเลี้ยงปากท้อง ส่วนเวลากลางคืนก็เริ่มฝึกฝนในกิจกรรมที่ตนเองเริ่มจะตระหนักว่าหลงใหลที่สุดในชีวิตนั่นก็คือการวาดภาพ เพราะในภวังค์แห่งศิลปะ สุเชาว์สามารถปลดปล่อยอารมณ์ให้เตลิดไปพร้อมๆ กับการปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนของชีวิตในแต่ละวันแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าวก็ยังดี ถ้าจะให้เดาคงเป็นเพราะความรักในศิลปะอีกนั่นแหละที่ทำให้สุเชาว์ตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลอีกครั้งเป็น ‘ศิษย์คเณศ’ ปวารณาตนเป็นศิษย์ของพระคเณศ เทพแห่งศิลปวิทยาการ

ที่มา: คณะกรรมการบริหารสมาคมศิษย์เก่าเพาะช่าง. (2543).
84 ปีชาตกาล ศ.เฉลิม นาคีรักษ์.
ความมุ่งหวังของสุเชาว์ตั้งแต่เรียนจบมัธยมคือการได้เรียนต่อด้านศิลปะ แต่ด้วยความไม่พร้อมทั้งเรื่องเวลาและทุนทรัพย์ สุเชาว์จึงต้องเน้นฝึกฝนด้วยตนเองเป็นหลัก และแล้วโชคชะตาก็พาสุเชาว์ไปพบกับ เฉลิม นาคีรักษ์ และ ทวี นันทขว้าง จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์นอกห้องเรียนของสุดยอดจิตรกรชั้นแนวหน้าทั้งสอง พอได้ครูดีสุเชาว์เลยยิ่งคึกจัด ฝึกวาดภาพอย่างเป็นบ้าเป็นหลังไม่รู้จักหลับจักนอนอยู่ครึ่งปี ก่อนที่จะตัดสินใจส่งภาพวาดเข้าร่วมประกวดในงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้ง ที่ 4 ที่จัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2496 ในการประกวดครั้งนั้นผลงานของสุเชาว์ถูกใจคณะกรรมการจนได้รับรางวัลเกียรตินิยมเหรียญเงินมาครอบครอง เมื่อเห็นทางสว่างในทางที่ตนเองรัก ในปีเดียวกันนั้นสุเชาว์จึงตัดสินใจสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปศึกษา พอจบแล้วก็ย้ายไปเรียนต่อที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ในยุคนั้นสุเชาว์ได้เรียนกับศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี โดยตรง สุเชาว์ หรือ ‘นายเจ๊ก’ ฉายาที่ศาสตราจารย์ศิลปใช้เรียกนั้น น่าจะเป็นนักศึกษาที่มีอายุมากที่สุดในชั้น เพราะหลังจากจบมัธยมสุเชาว์ต้องเลิกเรียนไปทำงานจิปาถะอยู่ร่วมสิบปีกว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเรียนต่อ นอกจากจะอายุเยอะที่สุดแล้ว สุเชาว์ก็น่าจะเป็นนักศึกษาที่ยากจนที่สุดด้วย สมัยเรียนค่ารถก็ไม่มี สุเชาว์ต้องเดินเท้าไปกลับจากที่พักย่านบางคอแหลมเพื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นประจำ หลายครั้งเดินกลับไม่ไหวต้องอาศัยนอนตามบ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้กว่า ส่วนข้าวปลาอาหารก็มีกินบ้างไม่มีกินบ้างตามยถากรรม เรื่องบริโภคสุเชาว์ทรหดกว่าเพื่อนๆตรงที่สามารถกินข้าวบูดที่คนอื่นเขาโยนทิ้งแล้วได้โดยไม่ป่วย

เมื่อสุเชาว์เรียนจบอนุปริญญาจากมหาวิทยาลัยศิลปากรในปีพ.ศ. 2502 ก็ไปสมัครเป็นอาจารย์วิชาศิลปะที่โรงเรียนสาธิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สอนเด็กๆ อยู่ 4 ปีก่อนจะลาออกจากงานประจำมาเป็นศิลปินอิสระอย่างเต็มตัว สุเชาว์ไปเช่าห้องแคบๆ ถูกๆ ไว้ทำงานศิลปะ และใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษโดยปราศจากครอบครัว ภาพลักษณ์ของสุเชาว์สำหรับคนภายนอกนั้นเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพเรียบร้อย ดูแล้วเหมือนจะมีความสุขดี นั่นก็เพราะสุเชาว์เลือกที่จะเก็บงำความทุกข์ร้อนเอาไว้คนเดียวไม่ไปพร่ำบ่นสาธยายให้ใครฟัง โดยมีความคิดว่าทุกชีวิตมีทุกข์อยู่แล้ว จึงไม่ควรไประบายความทุกข์ร้อนเพิ่มเติมให้ผู้อื่น หนทางที่สุเชาว์จะระบายความรู้สึกลึกๆ ในใจที่อัดแน่นออกมาได้คือผ่านทางผลงานศิลปะ
รายได้ไม่มากมายที่สุเชาว์เอาไว้ใช้ดำรงชีวิตก็มาจากการวาดภาพส่งขายตามแกลเลอรี สุเชาว์ไม่ได้วาดภาพที่ดูสวยๆ เจริญหูเจริญตา แต่เลือกที่สะท้อนชีวิตอัน รันทดหดหู่ของตัวเองออกมาเป็นผลงาน ภาพที่สุเชาว์มักวาดเช่น ภาพพี่น้องหน้าตาอิดโรยยืนรอความเมตตา ภาพจานข้าวที่ว่างเปล่ามีแต่ก้างปลา ภาพต้นไม้ยืนต้นตาย พอเป็นซะอย่างนี้ผลงานจึงไม่เป็นที่นิยม ไม่มีราคาค่างวดอะไร ภาพเล็กๆราคาหลักร้อย ใหญ่หน่อยก็หลักพัน บางครั้งสุเชาว์ยกผลงานให้คนอื่นไปฟรีๆ คนที่ได้รับไปกลับเอามาคืนเพราะกลัวว่าหากแขวนโชว์ไว้จะพาเอาเด็กๆที่บ้านขวัญผวา ถึงผลงานจะยังไม่เป็นที่ยอมรับแต่สุเชาว์ก็ยังซื่อสัตย์กับความรู้สึก ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานจากชีวิตจริงในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
กว่าสุเชาว์จะเริ่มเป็นที่รู้จักก็เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตแล้ว โดยผู้สนับสนุนหลักของสุเชาว์นั้นเป็นพนักงานสถานทูตที่ชื่อว่า พีระ ดิษฐบรรจง ถึงพีระจะไม่ใช่เศรษฐี แต่ด้วยความสนใจอย่างลึกซึ้งในงานศิลปะ เงินเดือนไม่มากของพีระจึงมักหมดไปกับภาพวาดที่เขาตระเวน ซื้อหาตามแกลเลอรีซึ่งก็มีไม่กี่ในแห่งราวๆ ปี พ.ศ. 2520 ช่วงที่เขาเริ่มสะสมงานศิลปะ

จนวันหนึ่งพีระไปถูกใจผลงานของสุเชาว์ที่แขวนขายอยู่ในแกลเลอรีแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 20 จึงซื้อไว้ แล้วค่อยๆทยอยตามหาภาพวาดของสุเชาว์มาสะสมไว้เพิ่มอีกหลายชิ้น และแล้วพีระก็ได้ข่าวว่าสุเชาว์กำลังป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ไม่สามารถสร้างผลงานออกมาได้มากเหมือนช่วงก่อน พีระจึงขอเบอร์ติดต่อจากแกลเลอรีเพื่อโทรศัพท์ไปแนะนำตัวและขออนุญาตนัดพบ พอได้รู้จักพีระยิ่งประทับใจกับความเป็นคนง่ายๆ มีอัธยาศัยดีของสุเชาว์ นิสัยอย่างหนึ่งของสุเชาว์คือการไม่เก็บสะสมอะไร อย่างเช่นหนังสือหนังหา เมื่ออ่านเสร็จก็จะบริจาคให้ห้องสมุด ส่วนผลงานศิลปะ ถ้าวาดเสร็จก็จะส่งแกลเลอรีไปหมด บ้างก็แจก ไม่เคยมีเก็บรวบรวมไว้ให้สามารถจัดงานแสดงที่ไหนได้ วันดีคืนดีเมื่อสุเชาว์ได้มาเห็นผลงานของตัวเองเยอะแยะในคอลเลกชันของพีระก็ประทับใจ
วันเวลาผ่านไปทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ พอสุเชาว์สร้างสรรค์ผลงานออกมา พีระก็คอยช่วยซื้อเท่าที่พอมีกำลัง ถึงบ้านช่องห้องหอของพีระจะไม่ได้ใหญ่โตแต่สามารถใช้เก็บภาพวาดของสุเชาว์ไว้ได้หลายชิ้น เพราะผลงานมีขนาดไม่ใหญ่ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะห้องเช่าที่ใช้เป็นสตูดิโอของสุเชาว์ไม่มีพื้นที่พอสำหรับเฟรมผ้าใบผืนโตๆ แถมวิธีการสร้างสรรค์ผลงานของสุเชาว์ก็มีแบบฉบับเฉพาะตัว คือเมื่อเกิดแรงบันดาลใจสุเชาว์จะวางโครงสร้างภาพ และสีไว้ในหัวเสร็จสรรพ พอจะวาดก็วาดไปเลยรวดเดียวจนจบไม่กลับมาวาดเพิ่มใหม่ทีหลัง นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ขนาดภาพต้องไม่ใหญ่มากหากวาดนานไปจะหมดอารมณ์เสียก่อน

ผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี ในการประกอบอาชีพศิลปินอิสระ สุเชาว์ยังไม่เคยมีงานแสดงเดี่ยวเลยสักครั้ง เหตุเพราะไม่มีทุนและเป็นคนขี้เกรงใจเลยไม่เคยเอ่ยปากขอให้ใครมาช่วยเหลือ จนเมื่อปีพ.ศ. 2527 มีฝรั่งชาวอเมริกันซึ่งเป็นภัณฑารักษ์ของห้องสมุดเนียลสัน เฮย์ส (Neilson Hays Library) บนถนนสุรวงศ์ มาเห็นผลงานของสุเชาว์ที่บ้านพีระเข้าก็ถูกอกถูกใจ จึงอาสาเป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการจัดงานแสดงเดี่ยวให้สุเชาว์เป็นครั้งแรก ณ ห้องสมุดแห่งนี้
เมื่อเสร็จสิ้นจากการแสดงเดี่ยวครั้งแรก สุเชาว์เริ่มตระเตรียมผลงานชุดใหม่เพื่อจะจัดแสดงอีกครั้ง ภาพวาดเทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบที่สร้างสรรค์ขึ้นในห้วงปี พ.ศ. 2528 นี้จะนับว่าเป็น ‘ยุคบลู’ ของสุเชาว์ก็ว่าได้ ผลงานในยุคนี้มีสีน้ำเงินเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงภาพ ‘Dream of the Homeless’ หรือ ‘ฝันของคนใฝ่บ้าน’ กลุ่มบ้านในจินตนาการที่มีอาคารอยู่หลายแบบ มีทั้งบ้านเสายกสูง บ้านมีจั่ว และบ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยม ทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปในภาพถึงจะเต็มไปด้วยร่องรอยของผู้สัญจรไปมา แต่ก็ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ แม้แต่ต้นไม้ก็ไม่มีใบเหลือแต่กิ่งก้านบิดเบี้ยวแห้งเหี่ยว โทนสีของภาพเป็นสีน้ำเงินเข้มดูทึบๆในเฉดที่หลากหลาย แซมประปรายด้วยสีขาว สีแดง และสีม่วง บนท้องฟ้ามีดวงจันทร์ บ่งบอกถึงช่วงเวลากลางคืนที่วิเวกวังเวง ผลงานชิ้นนี้สุเชาว์ใช้เทคนิคที่แปลกออกไปด้วยการใช้เกรียงปาดสีเป็นปื้นหนาๆประกอบขึ้นมาเป็นภาพก่อน หลังจากนั้นจึงใช้ด้านสันคมของเกรียง และปลายแหลมของด้ามพู่กันกรีดสีที่ยังไม่แห้งให้บาดลึกถึงชั้นผ้าใบสีขาว เพื่อเป็นการตัดเส้นเน้นองค์ประกอบในภาพ แม้แต่ลายเซ็น ‘ส.คเณศ 2528’ ที่เป็นตัวย่อของชื่อ นามสกุล และปีพ.ศ.ที่วาดยังถูกขูดลงไปบนภาพอย่างมีอารมณ์

ขนาด 37.5 X 45 เซนติเมตร
เฉกเช่นเดียวกับผลงานอื่นๆที่สะท้อนชีวิตอันแสนเศร้าของตนเอง สุเชาว์มีความฝันอันแรงกล้าว่าซักวันหนึ่งจะมีบ้านให้ได้ซักหลัง ถึงจะไม่ใหญ่โตโอ่อ่าแต่อย่างน้อยก็จะได้มีสมบัติพัสถานติดตัวไว้บ้างในยามแก่ชรา แต่ยิ่งนานวันความฝันนั้นยิ่งดูเหมือนจะห่างไกลขึ้นทุกที ในวัยใกล้เกษียณสุเชาว์ยังคงต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆอย่างโดดเดี่ยว บ้านในภาพวาดของสุเชาว์จึงไม่ใช่บ้านที่ดูครบครันอบอุ่น แต่เป็นบ้านที่ดูเดียวดาย และเลือนลางในความมืดมิด
เฉดสีหนักๆที่เลือกใช้ ผสมลงไปในสโตรกที่ปาดป้ายด้วยจังหวะจะโคนอันรุนแรงลงไปบนผืนผ้าใบ รวมถึงนำ้หนักมือในรอยขูด รอยกรีด กดเน้นเป็นร่องลึกบิดเบี้ยว คือความรู้สึกจริงๆจากก้นบึ้งจิตใจที่ถูกถ่ายทอดลงไปบนผลงานอย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องคัดกรอง ไม่ต้องเกรงใจใคร ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบุคลิกภายนอกของสุเชาว์ที่ดูสุภาพ ร่าเริง และคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ
ภาพ ‘Dream of the Homeless’ ไม่ใช่ผลงานแนวฮอตฮิตติดตลาด ประเภทย่อยง่าย แบบที่ใครๆเห็นแล้วจะประทับใจได้ในทันที แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพีระผู้เข้าถึง จึงตัดสินใจซื้อภาพนี้ไปสะสมไว้

ในปีพ.ศ. 2528 ขณะที่ยังสร้างสรรค์ผลงานยุคบลูได้ไม่มาก สุเชาว์ก็ล้มป่วยหนัก อาการแย่ลงอย่างรวดเร็วจนในที่สุดขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้ต้องนอนเป็นอัมพาตติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาล
งานแสดงผลงานครั้งถัดมาจึงถูกจัดขึ้นด้วยการร่วมแรง ร่วมใจของเหล่าคนที่รักสุเชาว์ ณ หอศิลป พีระศรี ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2528 จนเกิดภาพประวัติศาสตร์สุดสะเทือนใจภาพหนึ่งที่จะเป็นที่จดจำในวงการศิลปะสมัยใหม่ของประเทศไทยตลอดไปคือภาพพยาบาล เพื่อนๆศิลปิน และนักสะสมศิลปะ ค่อยๆเข็นเตียงผู้ป่วยพาสุเชาว์ที่นอนนิ่งไม่ไหวติง และระโยงระยางด้วยท่อช่วยหายใจ ให้ได้ชมนิทรรศการผลงานของตนเอง สุเชาว์ไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือพูดจาสื่อสารกับใครได้ แสดงความรู้สึกได้เพียงทางแววตาที่มีทั้งทุกข์จากโรคภัยที่สร้างความทรมานอย่างแสนสาหัส และสุขจากน้ำใจที่มิตรสหายรายรอบข้างต่างมอบให้ หลังจากงานแสดงครั้งนั้นไม่นานสุเขาว์ก็ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2529
ช่วงเวลาเดียวกับที่สุเชาว์เสียชีวิต พีระเองก็มีเหตุให้ต้องเดินทางไปอาศัยที่ออสเตรเลียกับภรรยาชาวออสเตรเลีย และถัดจากนั้นอีกไม่นานพีระก็ถึงแก่กรรมลง ผลงานศิลปะจึงถูกแบ่งขายกระจัดกระจายออกไป ภาพวาดฝีมือสุเชาว์ในคอลเลคชั่นของพีระเป็นที่ยอมรับกันในวงการว่าเยี่ยมยอดและสมบูรณ์ที่สุด ผลงานสุเชาว์ถ้าหากมาจากกรุนี้รับประกันว่าไม่มีใครกล้าวิจารณ์เสียๆหายๆ แถมในการซื้อขายนักสะสมยังยินดีจ่ายในราคามากกว่าภาพสุเชาว์จากแหล่งอื่นหลายๆเท่า ภาพ ‘Dream of the Homeless’ จากยุคบลูชิ้นนี้ก็ไม่ยิ่งหย่อน เพราะถูกเปลี่ยนมือไปสู่รังของนักสะสมศิลปะท่านสำคัญในราคาเกือบ 1 ล้านบาทเมื่อราว 30 ปีก่อน

In Memory of Suchao Sisganes)
ที่บอกว่า The Blue Period ของปิกัสโซนั้นคล้ายชีวิตของสุเชาว์ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียวหรอก เพราะในที่สุดปิกัสโซก็สามารถหลุดพ้นจากห้วงเวลาอันขมขื่นนี้ ไปสู่ยุคอื่นๆที่มีทั้งความรัก ความสุข ความสมหวัง จนประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะศิลปินตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ แตกต่างจากชีวิตของสุเชาว์ที่เข้าสู่ยุคบลูแบบนิรันด์ บลูแล้วบลูเลย และลาจากโลกนี้ไปอย่างตรอมตรม
เห็นพระจันทร์สีน้ำเงินหม่นๆในภาพ ‘Dream of the Homeless’ นั่นไหม พระจันทร์ดวงนั้นทำให้เรานึกถึงประโยค ‘Once in a Blue Moon’ ที่มีความหมายอย่างอุปมาอุปมัยว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นนานๆครั้ง นานๆที หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ช่างเหมือนกับความฝันใฝ่ในชีวิตของสุเชาว์ที่เฝ้ารอมาตลอดทั้งชีวิต แต่อนิจจาสุดท้ายก็ไม่มีวันเป็นจริง
เรื่อง / ภาพ: ตัวแน่น



