Wednesday, November 12, 2025
ศิลปะ ชื่นชมอดีต

 โคแบรนด์สุดว้าว สุเชาว์ x พีระ

‘ความฝันของคนใฝ่บ้าน‘ พ.ศ. 2524
เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 57 x 61 เซนติเมตร ศิลปิน สุเชาว์ ศิษย์คเณศ ผลงานสะสมของ พีระ ดิษฐบรรจง

เคยนึกฉงนสงสัยกันไหมว่า
บางครั้งผลงานศิลปะจากมือศิลปินคนเดียวกันแท้ ๆ
ทั้งที่สไตล์คล้าย ๆ กัน มีขนาดพอ ๆ กัน
ทำไมชิ้นหนึ่งถึงมีผู้คนให้ค่ามากกว่าอีกชิ้นหนึ่งมาก ๆ

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในวงการศิลปะมีองค์ประกอบสำคัญอีกสิ่งซึ่งเรียกว่า ‘Provenance’ อันกล่าวถึงประวัติที่มาของผลงานชิ้นนั้น ๆ เริ่มจากศิลปินผู้สร้าง ถัดจากนั้นเปลี่ยนมือไปอยู่ที่ไหนกับใครอะไรยังไงกันบ้าง ถ้าเจ้าของเก่าเป็นบุคคลมีชื่อเสียง หรือเป็นเซียนที่มีบทบาทได้รับการยอมรับกันในวงการ ผลงานศิลปะชิ้นนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ

ดังเช่นภาพวาดที่สร้างสรรค์ด้วยเทคนิคการปาดสีน้ำมันเป็นปื้นหนา ๆ ด้วยเกรียงอย่างฉวัดเฉวียนชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปบ้านในโทนสีขาวครึ้ม ๆ ภาพนี้ให้ความรู้สึกวิเวกวังเวงแบบแปลก ๆ เพราะหน้าต่างและประตูดูมืดมิดไม่มีแสงใดอยู่ภายใน ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รายรอบก็ล้วนมีแต่กิ่งก้านหงิกงอขาดใบดูไร้ชีวิต ทั้งเนื้อหาทั้งโครงสีเหมือนแฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นตันใจ ยิ่งถ้าคนดูรู้เรื่องราวชีวิตของ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ ศิลปินผู้รังสรรค์ภาพนี้เอาไว้รับรองว่าจะยิ่งอินเข้าไปใหญ่ โดยภาพบ้านนั้นสื่อถึงความใฝ่ฝันว่าสักวันสุเชาว์จะต้องก้าวพ้นความลำบากยากไร้จนสามารถมีบ้าน และครอบครัวอันอบอุ่นเหมือนคนอื่น ๆ เขา แต่อนิจจาในที่สุดแล้วทุกสิ่งอย่างก็เป็นเพียงมโนคติ สุเชาว์จบชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวแร้นแค้นไม่มีครอบครัว ไม่มีบ้าน มีเพียงสมบัติพัสถานอันน้อยนิดที่ทิ้งไว้ในห้องเช่าขนาดกระจิริดเพียงเท่านั้น

ภาพบ้านที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครชิ้นนี้ถูกวาดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2524 และมีชื่อเรียกอย่างตรงไปตรงมา ว่า ‘ความฝันของคนใฝ่บ้าน’ โดยผู้ที่ได้ครอบครองภาพบ้านในฝันนี้ต่อจากสุเชาว์คือ พีระ ดิษฐบรรจง ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการว่าถ้าเรื่องสุเชาว์ เขานี่แหละคือตัวพ่อ พีระไม่ใช่เจ้าสัว ไม่ใช่มหาเศรษฐีที่ไหน เป็นแค่พนักงานสถานทูตที่สนใจในเรื่องศิลปะเข้าขั้นสุด เงินเดือนที่ได้ไม่มากจึงมักหมดไปกับการตระเวนซื้อหาภาพวาดตามแกลเลอรีซึ่งก็มีเปิดกิจการอยู่ไม่กี่แห่งในราว ๆ ปี พ.ศ. 2520 ช่วงที่พีระเริ่มสะสมงานศิลปะอย่างเอาจริงเอาจัง

‘พีระ ดิษฐบรรจง'(ภาพจากนิตยสาร Life & Decor)

จนวันหนึ่งพีระไปสะดุดตาเข้ากับผลงานของสุเชาว์ที่วางขายอยู่ในแกลเลอรีแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 20 เจ้าของแกลเลอรีเล่าให้พีระฟังว่าสุเชาว์เป็นคนน่ารัก นิสัยดี งานที่สร้างก็ตรง ๆ เพียว ๆ ดูง่าย ๆ ถ่ายทอดมาจากความรู้สึกล้วน ๆ แกลเลอรีจึงลองช่วยเอามาวางขาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผลงานที่บางภาพก็ดูเหมือนเด็กวาด หรือบางภาพก็มีเนื้อหาที่ยิ่งดูยิ่งเครียดคงจะหาลูกค้าได้ไม่ง่ายแน่ ๆ ซึ่งก็จริงดังคาด ถึงจะตั้งราคาแค่หลักพันแต่ผู้ที่ถูกใจผลงานของสุเชาว์จนถึงกับยอมควักเงินซื้อนั้นมีจำนวนน้อยจนแทบจะนับหัวได้ และส่วนใหญ่ก็มักเป็นฝรั่ง คนไทยไม่สนใจ แถมออกไปทางดูถูกด้วยซ้ำ เพราะยังยึดติดกับผลงานศิลปะที่ดูสวย ๆ งาม ๆ แนววิจิตรบรรจง 

แต่พีระกลับถูกใจเลยซื้อภาพวาดของสุเชาว์กลับมาแขวนไว้ที่บ้าน พอได้ใกล้ชิด ยิ่งดู ยิ่งดื่มด่ำ ยิ่งเข้าถึง จนเกิดอาการฮึดจัดไปตามซื้อหาภาพวาดฝีมือสุเชาว์จากแกลเลอรีมาเพิ่มอีก พีระสะสมผลงานของสุเชาว์โดยไม่เคยเจอตัวศิลปินอยู่พักใหญ่ จนวันดีคืนดีได้ยินข่าวว่าสุเชาว์กำลังป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่สามารถสร้างผลงานออกมาได้บ่อยเท่าช่วงก่อน ๆ พีระจึงขอเบอร์ติดต่อจากแกลเลอรีเพื่อโทรศัพท์ไปแนะนำตัวและนัดพบ พอได้เจอตัวจริงพีระยิ่งประทับใจกับความเป็นคนง่าย ๆ มีอัธยาศัยดีของสุเชาว์ นิสัยอย่างหนึ่งของสุเชาว์ คือการไม่เก็บสะสมอะไร อย่างเช่นหนังสือที่ชอบเมื่ออ่านเสร็จก็จะบริจาคให้ห้องสมุด ส่วนผลงานศิลปะถ้าวาดเสร็จก็ขายไปหมด บ้างก็แจก ไม่เคยมีเหลือไว้มากมายให้สามารถจัดงานแสดงรวม ๆ กันที่ไหนได้ จนเมื่อสุเชาว์ได้มาเห็นผลงานของตัวเองเยอะแยะในคอลเลกชันที่บ้านของพีระก็ตื่นเต้นประทับใจ นาน ๆไปทั้งคู่เลยสนิทสนมกัน เวลาสุเชาว์สร้างสรรค์ผลงานออกมา พีระก็คอยอุดหนุนเท่าที่พอไหว ซื้อไปซื้อมากลายเป็นว่าพีระยิ่งมีผลงานชิ้นเยี่ยม ๆ ฝีมือสุเชาว์รวบรวมไว้มากมาย 

ถึงบ้านช่องห้องหอของพีระจะไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็สามารถเก็บสะสมภาพวาดไว้ได้เยอะเพราะผลงานของสุเชาว์ส่วนใหญ่มีขนาดไม่กว้างยาวไปกว่า 2 ฟุต เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะห้องเช่าที่สุเชาว์อยู่มีขนาดเล็กจัด เล็กกว่าบ้านพีระมาก ไม่มีพื้นที่พอจะวางเฟรมผ้าใบใหญ่ ๆ ได้ แถมวิธีการสร้างงานของสุเชาว์ก็มีแบบฉบับเฉพาะตัว คือเมื่อเกิดแรงบันดาลใจอย่างเช่น ไปเห็นคนจีนนั่งเท้าศอกดื่มเหล้าที่เยาวราชแล้วชอบบุคลิก หรือเดินผ่านสวนเห็นปลาหมอดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่บนพื้นคลุกฝุ่นเกรอะกรังตะกายจะไปหาน้ำ นึกสะท้อนถึงชีวิตตนเองที่ต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด ก็จะจำภาพนั้นเอาไว้ พร้อมทั้งวางโครงสร้างภาพ และสีในหัวเสร็จสรรพ พอจะวาดก็วาดไปเลยพรวดเดียวจนจบไม่กลับมาวาดเพิ่ม หรือแต่งเติมใหม่ทีหลัง นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่เฟรมจะต้องไม่ใหญ่มากเดี๋ยวอารมณ์จะหมดวาดทีเดียวจบไม่ได้

สุเชาว์ ศิษย์คเณศ
(ภาพจากหนังสือสุเชาว์ ศิษย์คเณศ ชีวิตและงาน)

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาสุเชาว์ไม่เคยมีงานแสดงเดี่ยวเลยสักครั้งเลยเพราะไม่มีทุนจัด ไม่มีผลงานเก็บไว้เพียงพอ และเป็นคนขี้เกรงใจ เลยไม่เคยเอ่ยปากขอให้ใครมาช่วยเหลือ หรือขอยืมภาพวาดที่ขายไปแล้วมาแสดงทั้ง ๆ ที่คนรอบข้างก็รักและเต็มใจ จนประมาณปีพ.ศ. 2527 มีชาวอเมริกันจากนิวยอร์กมารับหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์ประจำห้องสมุดเนียลสัน เฮย์ส (Neilson Hays Library) บนถนนสุรวงศ์ เกิดไปเห็นผลงานของสุเชาว์ที่บ้านพีระเข้าก็ถูกอกถูกใจ และเป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการจัดงานแสดงเดี่ยวให้สุเชาว์เป็นครั้งแรกที่ห้องสมุดแห่งนี้ 

หลังแสดงผลงานในครั้งนั้น ชีวิตของสุเชาว์เริ่มจะดีขึ้นด้วยการสนับสนุนจากพีระและมิตรสหาย เสร็จจากงานแสดงเดี่ยวครั้งแรกสุเชาว์ก็เกิดความกระตือรือร้น สั่งเฟรมผ้าใบเปล่า ๆ มาเตรียมไว้ เพื่อจะสร้างผลงานชุดใหญ่เอาไว้โชว์ในการแสดงครั้งต่อ ๆ ไป แต่ความสุขในชีวิตของสุเชาว์ช่างสั้นนัก สุเชาว์สร้างผลงานเพิ่มได้อีกไม่กี่ชิ้นก็เริ่มป่วยหนัก พีระก็เอาใจใส่คอยไปเยี่ยม และอาสาพาไปรักษาอยู่เนือง ๆ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นจนในที่สุดสุเชาว์ถึงกับเป็นอัมพาตขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้ต้องนอนแน่นิ่งอยู่ในโรงพยาบาล

งานแสดงเดี่ยวของสุเชาว์ในครั้งถัดมาที่จัดขึ้น ณ หอศิลป พีระศรี ในซอยอรรถการประสิทธิ์ จึงถูกจัดขึ้นด้วยการร่วมแรงร่วมใจของเหล่าคนที่รักสุเชาว์ ทั้งเพื่อนศิลปิน และนักสะสม ในงานมีผลงานย้อนหลังตั้งแต่ชุดแรก ๆ จนถึงชุดที่เพิ่งสร้างสรรค์เสร็จก่อนล้มป่วยมาโชว์อย่างครบครันดึงดูดให้มีผู้สนใจผลงานของสุเชาว์เพิ่มขึ้นอีกอย่างเนืองแน่น งานที่จัดขึ้นในครั้งนี้ยังเป็นการหารายได้เพื่อนำมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สุเชาว์ และสุเชาว์เองก็ยังอุตส่าห์มีโอกาสได้มาร่วมงานในสภาพอัมพาตหายใจรวยริน พูดจาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเข็น เมื่อได้เห็นงานที่จัดขึ้นมาได้อย่างงดงามยิ่งใหญ่ และพบปะเพื่อนสนิทมิตรสหายที่อยู่คอยต้อนรับกันอย่างพร้อมหน้า สุเชาว์ก็ยิ่งอิ่มเอมใจ แต่สื่อสารได้เพียงผ่านหยดน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาบนใบหน้า

หลังเสร็จงานพีระก็มีเหตุให้ต้องเดินทางไปอาศัยที่ออสเตรเลียกับแอนนาเบล ผู้เป็นภรรยา ซึ่งก็เป็นเวลาเดียว กับที่สุเชาว์เสียชีวิตลง ถัดจากนั้นอีกหลายปีพีระก็เสียชีวิตเช่นกัน เป็นอันว่าทั้งคู่เลยได้ไปติดตามผลงานกันต่อในสรวงสวรรค์

ที่นิยามไปแล้วก่อนหน้าว่าถ้าพูดถึงสุเชาว์ พีระนี่ล่ะตัวจริงเสียงจริง เหตุเพราะผลงานฝีมือสุเชาว์ที่พีระสะสมไว้นับว่าเป็นชุดที่เลอเลิศและสมบูรณ์ที่สุด สมัยที่พีระซื้อหามาอาจไม่ค่อยมีคนสนใจ มีราคาไม่เท่าไหร่ แต่พอเวลาผ่านไปผลงานชุดนี้กลับมีทั้งคุณค่า และมูลค่ามหาศาล ด้วยการคัดสรรที่พิถีพิถันหรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘ตาถึง’ ผลงานของสุเชาว์ถ้ามาจากคอลเลกชันของพีระนอกจากจะแท้ล้านเปอร์เซ็นต์แบบไม่ต้องสืบแล้ว นักสะสมรุ่นหลังยังยินดีให้ราคามากกว่าผลงานของจริงที่มาจากแหล่งอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ในวงการศิลปะชื่อพีระจึงกลายเป็นโคแบรนด์คู่กับชื่อสุเชาว์ไปเลย เหมือนกับรถเบนซ์ถ้าหากมีโลโก้ เอเอ็มจี หรือ บราบัส แปะอยู่คู่ไปด้วยจะมีราคาค่างวดมากกว่ามีตราเบนซ์เฉย ๆ เป็นทวีคูณ

เรื่องนี้เลยสอนให้รู้ว่าถ้าใครริจะสะสมงานศิลปะให้คอลเลกชันเป็นตำนาน บุคคลผู้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมีเงินทองเป็นกองพะเนินเทินทึก แต่ต้องมีความขยันหมั่นซอกแซก รู้จักมักจี่กับแกลเลอรี และศิลปินที่ชื่นชอบ เช้าถึงเย็นถึง แสดงความตั้งใจให้เห็นว่าเป็นแฟนคลับเหนียวแน่นสายฮาร์ดคอร์ขนานแท้ รักใคร่ชอบพอกันไว้ยังไงก็มีโอกาสได้เลือกงานดี ๆ ในราคาโดน ๆ ก่อนมหาเศรษฐีที่ส่วนใหญ่ที่มักมีแต่เวลาหาตังค์ ไม่มีเวลามากมายมานั่งคุยกับศิลปิน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ผลงานที่ล้ำเลิศมาครอบครองแล้วก็อย่าหมก ๆ แอบ ๆเอาไว้ดูคนเดียว มีโอกาสก็ช่วยศิลปินเขาเผยแพร่ หมั่นพีอาร์ โปรโมตกันให้เสร็จสรรพ พอศิลปินยิ่งดัง งานในคอลเลกชันของนักสะสมคู่บุญก็ยิ่งเด่น กลายเป็นคู่จิ้นสุดฟินอย่าง พีพี บิวกิ้น กันไปเลย

บทความแนะนำ

About the Author

Share:
Tags: นิตยสารอนุรักษ์ / อนุรักษ์ / ศิลปะ / ตัวแน่น / thaiartist / artist / สุเชาว์ ศิษย์คเณศ / SUCHAO SISGANES /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ