
ในช่วงชีวิตของปุถุชนคนหนึ่ง ยูเรก้า โมเมนต์ (Eureka Moment) หรือห้วงเวลาแห่งความปิติขั้นสูงสุดเมื่อได้ค้นพบกับความลับแห่งจักรวาลที่เพียรไขว่คว้า นั้นเป็นเหตุการณ์แสนพิเศษที่เกิดขึ้นไม่บ่อย หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยตลอดอายุขัยของบุคคลผู้นั้น
ยูเรก้า โมเมนท์ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกดีเหมือนเจอกุญแจบ้านดอกที่ทำหล่นหายไป แต่ยิ่งใหญ่เปรียบได้ดั่งการเข้าใจวิธีหาความถ่วงจำเพาะของ อาร์คิมิดิส หรือการรู้แจ้งถึงทฤษฎีสัมพันธภาพของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นโมเมนต์สั้น ๆ แต่ส่งผลสำคัญต่อความคิด มีผลต่อชีวิต อย่างตราตรึงตราบนานเท่านาน
ดั่งเช่นเรื่องราวของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินหนุ่มหัวขบถชาวเชียงราย ผู้พากเพียรค้นหาสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ตกผลึกอย่างสมบูรณ์ทั้งรูปแบบ และความคิด เพื่อจะประสบความสำเร็จเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในวงการศิลปะโลกให้ได้ นับตั้งแต่วันที่แรกที่ถวัลย์มีโอกาสเข้าเรียนในสถาบันศิลปะ จากโรงเรียนเพาะช่าง สู่รั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร จนได้ทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านจิตรกรรมฝาผนัง อนุสาวรีย์และผังเมือง ผนวกด้วยปริญญาเอกด้านอภิปรัชญา และสุนทรียศาสตร์ จากราชวิทยาลัยศิลปะ Rijks Akademic van Beeldende Kunsten ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถวัลย์เคยทดลองสร้างสรรค์ผลงานมาแล้วทุกสไตล์เท่าที่มนุษย์จะรู้จัก ทั้งแบบสมจริง แบบนามธรรม แบบอิมเพรสชั่นนิสม์ แบบบคิวบิสม์ แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงได้ จนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เนเธอร์แลนด์ให้ความเห็นว่า
“นี่เป็นตัวอย่างที่แท้จริงของทาสที่ปลดปล่อยไม่ไป…มันทำเหมือนอิตาเลียน มันทำเหมือนฝรั่งเศส ทำเหมือนดัทช์…แต่เราไม่รู้เลยว่าอะไรที่เป็นตัวของมันเอง…”
พอได้ยินดังนั้นถวัลย์เลยหันมามาวาดภาพที่มีเนื้อหาดูไทยจ๋า ๆ เช่นวัดอรุณ เรือสุพรรณหงษ์ แต่พออาจารย์เห็นเข้ากลับตำหนิว่า
“นี่มันหลงทางใหญ่แล้ว ตอนแรกมันยังทำงานศิลปะ ถึงแม้มันจะไม่เป็นไทยเป็นอะไรแต่มันก็ทำงานศิลปะ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเขียนโปสเตอร์ให้ อ.ส.ท. …ความเป็นไทยน่ะไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่เนื้อหาเบื้องในภายในว่าทำยังไงความเป็นไทยนั้นจึงจะหายใจได้”

ในปีพ.ศ. 2511 เมื่อถวัลย์สำเร็จการศึกษาและเดินทางจากยุโรปกลับมายังประเทศไทย ถวัลย์ตัดสินใจค่อย ๆ ถอยห่างจากสไตล์ของ ปิกัสโซ่ โมเนต์ แวนโก๊ะ รวมศิลปินชาวตะวันตกอื่น ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อศิลปะโลก ทั้งยังเลิกวาดภาพวิววัดวาอาราม พิธีรีตรอง ที่ถูกมองว่าถ่ายทอดความเป็นไทยได้เพียงแค่เปลือก ไม่ต่างจากป้ายประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ถวัลย์กลับหลังหันมามองบ้านเกิด มาเอาจริงเอาจังกับการทำความเข้าใจแก่นแท้ของจิตวิญญาณแบบตะวันออกที่สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อันรวมถึง ศาสนา คติความเชื่อ พงศาวดาร วรรณคดี วัฒนธรรม แล้วพยายามถ่ายทอดออกมาอย่างไม่เสแสร้งจากก้นบึ้งแห่งจิตใจที่เป็นไทย
ในแผ่นดินสยามตั้งแต่อดีตกาลนานโพ้น ทั้งสมัยสุโขทัย อยุธยา เรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์ หนึ่งในแนวทางศิลปะที่มีความสำคัญที่สุดเปรียบได้ดังแก่นของศิลปะไทยนั่นก็คือผลงานแนว “พุทธศิลป์” และด้วยคำสอนจากอาจารย์ชาวเนเธอร์แลนด์ที่แนะว่า
“เราจะต้องเอาอดีตมารับใช้ปัจจุบัน ไม่ใช่เอาปัจจุบันนี่ไปรับใช้อดีต เราจะเดินถอยหลังกลับไปสู่มดลูกของโลกนั้นไม่ได้ เราจะต้องพัฒนา สิ่งใดที่หยุดนิ่งคือสิ่งที่ตายแล้ว”
ถวัลย์จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อลมหายใจศิลปะแนวพุทธศิลป์โดยการคิดค้นให้ก้าวข้ามไปจากกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่ลอกเลียนต่อ ๆ กันมาอย่างยาวนานจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของตนเองให้ได้

ถวัลย์ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างสรรค์ผลงานพุทธศิลป์ในรูปแบบอันคุ้นตาที่ดูงดงาม ศักดิ์สิทธิ์ วิจิตร ด้วยภาพพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เทวดา นางฟ้า พระราชา ที่ต่างบรรจงสรรค์สร้างออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ให้ดูน่าเลื่อมใส ให้หล่อ ให้สวย ที่สุดเท่าที่ศิลปินจะมโนภาพขึ้นมาได้ แต่ถวัลย์กลับเลือกใช้ภาพสิงห์สาราสัตว์ รวมถึงร่างกายมนุษย์ธรรมดา อันมีทั้งความน่าเกลียดน่ากลัว และความงดงาม ทุกตัวละครถูกเลือกมาใช้ในการสื่อความหมายซึ่งลึกซึ้งไปกว่าสิ่งที่ตาเห็น เช่น ผู้คนร่างกำยำที่มีศีรษะเป็นสัตว์ร้ายนั้นเปรียบดั่งผู้มีความสามารถเหนือกว่าเดียรัจฉานทั้งแรงกาย และสติปัญญา แต่ยังคงถูกครอบงำด้วยกิเลส งูเปรียบเสมือนพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในอีกบริบทก็เปรียบดั่งพิษร้าย นกอินทรีนั้นสื่อถึงพลัง ความระแวดระวัง หรือแมลงปีกแข็งอย่างตัวด้วงนั้นหมายถึงดวงวิญญาณซึ่งเมื่อถึงเวลาก็จะบินหายลอยออกไปจากร่างที่พวกมันเกาะยึดไว้ชั่วครั้งชั่วคราว
และในบรรดาฉากเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในแนวทางพุทธศิลป์ คงไม่มีฉากไหนที่ดูดรามาติก ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง เร้าอารมณ์ ไปกว่าฉาก “มารผจญ หรือ “Battle of Mara” ซึ่งเกิดขึ้นในห้วงเวลาหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับนั่งขัดสมาธิใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ แล้วอธิษฐานจิตว่าหากยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ จะไม่ลุกไปไหน ถึงแม้ร่างกายจะแห้งเหี่ยวเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ตาม การตั้งจิตซึ่งนำไปสู่การตรัสรู้ในครั้งนี้เป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับพญามารซึ่งดลใจให้ผู้คนประพฤติชั่ว และตกอยู่ใต้อำนาจ ส่งผลให้บัลลังก์แห่งพระยาวัสสวดีมารเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง พระยาวัสสวดีมารจึงไม่รอช้าขี่ช้างคีรีเมขล์ พร้อมพรั่งด้วยกองทัพมารจำนวนมหาศาล ยกพลมาเพื่อขับไล่พระองค์ให้เสด็จหนีไป เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะยังทรงนิ่งเฉยไม่เกรงกลัว กองทัพมารจึงกระหน่ำซัดศัสตราวุธนานาชนิดเข้าใส่ แต่พอเข้าใกล้พระองค์อาวุธต่าง ๆ กลับกลายสภาพเป็นกลีบดอกไม้ไปเสียทั้งหมด ด้วยตัวละครที่มีบทบาท และลักษณะแตกต่างกันมากมาย ภายใต้บรรยากาศความขัดแย้งที่ขึงขัง ดุดัน โกลาหล อลหม่าน ภาพที่เล่าเรื่องราวมารผจญจึงเป็นโจทย์หินอันท้าทายสำหรับ ถวัลย์ ดัชนี หรือศิลปินท่านใดก็ตามหากริอ่านจะถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานจิตรกรรมอันมโหฬารสมเหตุการณ์

เพื่อจะบรรลุหมุดหมายใหญ่ยิ่งที่วางไว้ ถวัลย์เริ่มต้นจากการออกแบบหมู่มารที่ร่างเป็นมนุษย์ มีกล้ามเนื้อกำยำบีบเกร็ง อยู่ในท่าบิดตัว โก่งตัว ก้งโค้ง มารเหล่านี้มีหัวเป็นสัตว์เช่น เสือ สิงห์ ช้าง ม้า นาค แรด อินทรี จระเข้ งู ต่างแยกเขี้ยว ขู่คำราม อยู่ในท่าทางดุร้าย เตรียมสาดอาวุธที่มีทั้ง เขี้ยว เล็บ มีด หอก ดาบ ธนู พร้อมพุ่งกระโจน ถาโถม โรมรัน ไปในทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง โดยมีพญามารหัวเป็นด้วงกว่างนั่งอยู่บนหลังช้างคีรีเมขล์เป็นผู้นำทัพ ถวัลย์ต้องบรรจงจัดวางตัวละครแต่ละตัวในตำแหน่งท่วงท่าที่สอดประสานสัมพันธ์ เพื่อให้สามารถส่งพลังซึ่งกันและกันได้อย่างดุเดือดรุนแรง ในขณะเดียวกันก็ต้องสมดุลย์ลงตัว ไม่ให้ขาดไม่ให้เกิน
เพราะได้แรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะไทยประเพณียุคเก่าก่อน อย่างตู้พระธรรม ตู้สำหรับเก็บสมุดไทย และคัมภีร์ใบลานซึ่งมักมีการวาดลวดลายอย่างวิจิตรจนเต็มพื้นที่ด้วยลายทองรดน้ำ ถวัลย์จึงเสริมเส้นสายแบบไทยเติมแต่งเข้าไปบนร่างกายของหมู่มาร ทั้งบนหัว บนตัว ประดับประดาตามร่างกายให้คล้ายรอยสักลงอาคมแบบนักรบไทยโบราณ โดยถวัลย์ไม่ได้ลอกเลียนอดีต แต่คิดค้นและผูกลวดลายขึ้นมาด้วยภาพสิงห์สาราสัตว์ในสไตล์ใหม่ แต่ยังคงความเป็นไทยไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ในยุคที่ถวัลย์ริเริ่มสร้างผลงานในแนวพุทธศิลป์เมื่อราวปี พ.ศ. 2511 ผลงานจิตรกรรมเทคนิคสีน้ำมันของถวัลย์ยังมีสีสันที่หลากหลาย เน้นความฉูดฉาด แต่ละภาพแทบจะเป็นสีรุ้งดูระยิบระยับ ครั้นเมื่อถวัลย์หันมาศึกษาปรัชญาตะวันออกอย่าง พุทธ และ เซน จนแตกฉาน สีในผลงานจึงเริ่มถูกลดทอนจนเหลือเพียงไม่กี่สีในการสื่อสารเรื่องราวเพื่อให้เข้าใกล้ความบริสุทธิ์แบบ “ไร้กระจกให้ฝุ่นจับ” อย่างในการวาดภาพ “มารผจญ” ถวัลย์ลดทอนจนเหลือเฉพาะเฉดสีที่บรรพบุรุษไทยใช้ในการประดับตู้พระธรรม คือ สีทองคำเปลว สีแดงชาด สีปูนขาว และสีดำของยางรัก
ผลลัพธ์ที่เกิดจากการผนวกรูปแบบ เทคนิค แนวคิด ที่ถวัลย์ช่ำชองอยู่ก่อนแล้ว และที่เพิ่งจะค้นพบใหม่เข้าด้วยกัน คือผลงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบอันทรงพลังมากที่สุดภาพหนึ่งเท่าที่ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินหนุ่มในวัยเพิ่งจะ 30 ได้เคยสร้างสรรค์ขึ้นมา ภาพ ‘มารผจญ’ ขนาดสูงท่วมหัวชิ้นนี้ สามารถหยุดเวลาไว้ได้อย่างฉับพลันในเสี้ยววินาทีที่การต่อสู้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ทุกรายละเอียดสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนรุ่ม วุ่นวาย อันถูกชักนำโดยกิเลส ตัณหา ราคะ ความโลภ โกรธ หลง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกภายในจิตใจซึ่งเป็นนามธรรม แต่ถวัลย์สามารถอุปมาอุปมัยออกมาเป็นรูปธรรมในคราบของภาพพุทธศิลป์แนวเหนือจริงสุดอลังการรูปแบบที่ไม่มีใครเคยสร้างสรรค์ขึ้นมาก่อนได้

ครั้นย่างเข้าปี พ.ศ. 2514 เมื่อ ‘มารผจญ’ ผลงานอันเป็นความภาคภูมิใจสำเร็จลุล่วงอย่างที่วาดหวัง ถวัลย์ได้นำไปจัดแสดงในนิทรรศการเดี่ยว ณ สถาบันเกอเธ่ สถาบันด้านวัฒนธรรมของประเทศเยอรมันนีประจำประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นยังตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ นิทรรศการเดี่ยวในครั้งนี้ได้รับการชื่นชมเป็นอย่างดีในหมู่ผู้รักศิลปะชาวต่างชาติ เนื่องจากในยุคนั้นถวัลย์ยังไม่ได้มีชื่อเสียงในหมู่ชาวไทยเหมือนสมัยอีกหลายสิบปีต่อมา ถวัลย์เคยเล่าว่ามีแต่ฝรั่งที่ดูผลงานแล้วเข้าถึง ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติไม่เข้าใจ แถมไม่ใส่ใจที่จะเข้าใจด้วยซ้ำ เพราะมองว่าศิลปะเป็นเรื่องไกลตัว ไม่นึกถึง ไม่พูดถึง ไม่สะสม ในงานแสดงสมัยแรก ๆ เมื่อถวัลย์กลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ แต่ละงานมีคนมาชม 200 ถึง 300 คน แทบทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ น่าประหลาดมีคนไทยมาดูแค่ 2-3 คน ถวัลย์เปรียบเปรยการเคี่ยวเข็ญชาวไทยให้รู้สึกถึงความสุนทรีย์ในงานศิลปะนั้นยากเย็นเหมือนกับการเล่นเปียโนให้ลา หรือเล่นกีตาร์ให้ควายฟัง
มิหนำซ้ำในปีเดียวกันกับงานแสดงที่สถาบันเกอเธ่ ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อหนังสือพิมพ์ลงข่าวหน้าหนึ่งว่ามีศิลปินบ้า ชื่อ ถวัลย์ ดัชนี กำลังแสดงผลงานลบหลู่พุทธศาสนา ปลุกกระแสต่อต้านในหมู่ชาวไทยผู้ไม่เข้าใจความหมายในผลงานแนวพุทธศิลป์ที่ดูแหวกแนวของถวัลย์ จนมีกลุ่มนักศึกษาช่างกลกรูกันมากรีดทำลายผลงานของถวัลย์ที่กำลังจัดแสดงอยู่ในสำนักกลางนักเรียนคริสเตียน ตรงสะพานหัวช้าง สร้างความวุ่นวายกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

แต่แทนที่จะท้อแท้ ถวัลย์กลับยิ่งขยันทำงานขึ้นอีก เริ่มจากสร้างฐานแฟนคลับชาวต่างชาติให้กว้างขวาง หมั่นจัดแสดงผลงานในสถานที่ที่ฝรั่งในเมืองไทยเขาไปรวมตัวกัน ออกเดินสายรับงาน และจัดนิทรรศการในเมืองนอก ตระเวนไปจนแทบจะทั่วทุกทวีป ทั้งเอเซีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป ออสเตรเลีย จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ด้วยกลยุทธ์โลกล้อมเรา โกอินเตอร์ก่อนแล้วค่อยวกกลับบ้าน ประมาณว่าถ้าฝรั่งเห็นว่าดีเดี๋ยวคนไทยก็น่าจะคล้อยตาม จนในที่สุดก็เป็นไปตามคาด ถวัลย์ประสบความสำเร็จผงาดเป็นจักรพรรดิแห่งผืนผ้าใบที่ทั้งชาวต่างชาติ และชาวไทยให้การยอมรับ
หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2514 ในวันที่ถวัลย์วาดภาพ “มารผจญ” ชิ้นนี้สำเร็จ เราคงบอกไม่ได่ว่า ยูเรก้า โมเมนต์ ในห้วงเวลาที่ถวัลย์ค้นพบเอกลักษณ์ของตนเองแล้วนั้นช่างอิ่มเอมเพียงใด แต่ที่รู้แน่ ๆ คือผลงานชิ้นนี้คือหนึ่งในหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปลี่ยนผลงานของถวัลย์ในแบบดั้งเดิมให้เป็นสไตล์ถวัลย์อย่างที่เราคุ้นตากัน เพราะหลังจากนั้นภาพวาดของถวัลย์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย จากที่เคยใช้สีแพรวพราวก็ลดทอนเหลือเพียง ขาว ดำ แดง ทอง ถวัลย์เริ่มนำเส้นสายแบบไทยอันเป็นเอกลักษณ์มาผสมผสานไว้ในผลงานชิ้นต่าง ๆ รวมทั้งยังต่อยอดไปสู่ลวดลายประดับประดาสถาปัตยกรรมอย่าง “บ้านดำ” อันเลื่องชื่อ ไม่เพียงเท่านั้น ภาพที่ต้องการสื่อถึงเหตุการณ์มารผจญในเวอร์ชั่นต่อๆมาอีกมากมายก็ยังถูกใส่รายละเอียด และจัดวางองค์ประกอบโดยใช้ภาพ “มารผจญ” เวอร์ชั่นแรกที่สวยงามลงตัวแล้วนี้เป็นต้นแบบอยู่เสมอ

ในชีวิตของจิตรกรคนหนึ่งถึงเขาจะวาดภาพมาเป็นร้อย หรือเป็นพันภาพ แต่ภาพที่สมควรบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพราะมีความสำคัญยิ่งถึงขั้นศิลปินยอมตัดสินใจเปลี่ยนสไตล์จนค้นพบรูปแบบที่เพียรตามหา นั้นไม่แปลกหากจะมีน้อยชิ้นจนแทบจะนับด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียวได้
เรื่อง ภาพ : ตัวแน่น